ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของจระเข้สามพัน

            จากการศึกษาจากเอกสารการวิจัยและศึกษาผ่านเอกสารทางประวัติศาสตร์ ทั้งหลักฐานชั้นต้นและหลักฐานชั้นรอง ปรากฏว่าในการศึกษาถึงพื้นที่จระเข้สามพันที่มีความเป็นมาที่ยาวนาน เริ่มจากการได้สอบถามเบื้องต้นจากสมาชิกสภาเทศบาลตำบลท่านหนึ่ง ได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการขุดค้นทางโบราณคดี และมีชาวบ้านหลายหมู่บ้านในอดีตได้มีการพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของชุมชนโบราณในเขตเทศบาลตำบลจระเข้สามพัน นำไปขายให้คนภายนอกและบรรดาผู้ที่ชื่นชอบในการเก็บของโบราณ ดังนั้นผู้ศึกษาจึงเริ่มจากการศึกษาข้อมูลที่มีการศึกษาทางโบราณคดี ปรากฏว่าในอดีตมีการขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำจระเข้สามพันอยู่จำนวนมาก สามารถสรุปเบื้องต้นได้ดังนี้

            ชุมชนจระเข้สามพันในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในพื้นที่ลุ่มน้ำจระเข้สามพันเคยมีสร้างที่อยู่อาศัยในรูปแบบของชุมชนโบราณ การอาศัยอยู่ของมนุษย์ที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำจระเข้สามพันมีการอาศัยอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พื้นที่ในเขตตำบลจระเข้สามพันเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญที่หนึ่งของการศึกษาว่าบรรพบุรุษเคยมีผู้คนอาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำในบริเวณภาคกลาง โดยจากหลักฐานทางโบราณคดีปรากฏว่าชุมชนที่มาอาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำจระเข้สามพัน มีความเก่าแก่ถึง 2,500 – 3,000 ปีมาแล้ว ซึ่งอาจเป็นศูนย์กลางของชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ศูนย์กลางหนึ่งก็เป็นได้ หนึ่ง เมื่อพินิจถึงพื้นที่ในการสร้างที่อยู่อาศัยเป็นระดับชุมชนจนถึงเป็นเมืองโบราณนั้น จะต้องการการสร้างที่อยู่อาศัยริมแม่น้ำเป็นหลัก เพราะเมื่อมนุษย์หลุดพ้นจากยุคหินที่อาศัยอยู่ในถ้ำมาก่อน จากนั้นเมื่อรวมตัวกันเป็นชุมชน จะมีลักษณะที่สำคัญคือตั้งอยู่ลุ่มแม่น้ำเพื่อต้องอาศัยน้ำในการบริโภคและอุปโภค ตลอดจนทำกิจกรรมต่าง ๆ ในการดำรงชีพ เช่น ลุ่มน้ำเจ้าพระยามีเมืองอโยธยา ลุ่มน้ำลพบุรีมีเมืองละโว้หรือลพบุรี ลุ่มแม่น้ำนครชัยศรีมีเมืองนครปฐมโบราณ เมืองคูบัวอยู่ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง เป็นต้น

            ลักษณะที่มีการค้นพบโครงกระดูกและการกระจัดกระจายของข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับ ยังสามารถกล่าวได้ว่าชุมชนลุ่มแม่น้ำจระเข้สามพันมีกิจกรรมรูปแบบต่าง ๆ มีความคล้ายคลึงกับชุมชนเมืองโบราณที่อยู่ในร่วมยุคสมัยกัน หรืออาจจะหลักลงไปเล็กน้อย โดยสิ่งที่ได้จากการขุดค้นพบทางโบราณคดีมีความคล้ายกับแหล่งโบราณคดีดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี แหล่งโบราณคดีจันเสน จังหวัดนครสวรรค์ แหล่งโบราณคดีศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นต้น หากพินิจจากข้าวของเครื่องใช้ที่พบในการขุดค้นพบที่ลุ่มแม่น้ำจระเข้สามพัน สามารถกล่าวได้กว้าง ๆ ว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับแหล่งโบราณคดีที่อยู่ร่วมสมัยกัน โดยอาจจะอยู่ในรูปแบบของความสัมพันธ์ทางการค้าตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังสืบเนื่องมาจนถึงยุคประวัติศาสตร์ ซึ่งแหล่งโบราณคดีที่มีความคล้ายกันมากที่สุดก็คือแหล่งโบราณคดีจันเสน จังหวัดนครสวรรค์ หลายประการเช่น การตั้งถิ่นฐานมีความคล้ายกับการสร้างชุมชนของเมืองอู่ทองโบราณ อีกทั้งมีความยาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนมาถึงยุคประวัติศาสตร์เหมือนกัน มีโบราณวัตถุที่ได้ขุดค้นพบที่มีต้นกำเนิดจากอินเดีย เมียนมา จีน แสดงให้เห็นว่าทั้งสองพื้นที่มีการติดต่อกับดินแดนภายนอกเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการค้นพบศิลปวัตถุที่เหมือนกับที่ปรากฏในอินเดีย ก็คือการค้นพบหวีรูปแบบที่มีอิทธิพลของศาสนาพุทธและฮินดู ตามรูปแบบของศิลปะอมราวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 6 ซึ่งมีความเก่าแก่มากเมื่อเทียบกับการขุดค้นทางโบราณคดีของดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังมีการพบเจอโบราณวัตถุประเภทเครื่องปั้นดินเผาอีกจำนวนมากที่คล้ายกับที่มีการค้นพบที่อินเดีย และยังมีการพบเจอโบราณวัตถุที่สามารถระบุได้ว่ามีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมฟูนัน ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทย นอกจากนี้ยังมีการค้นพบถึงการพัฒนาชุมชนเข้าสู่อารยธรรมทวารวดีของชุมชนจระเข้สามพัน เช่น กระดิ่งสำริด ต่างหูดีบุก ลูกปัด เครื่องประดับต่าง ๆ ตลอดจนพิมพ์เครื่องปั้นดินเผา

            จากโครงกระดูกที่มีการค้นพบที่บริเวณหมู่บ้านนาลาว และหมู่บ้านอื่น ๆ พบว่าโครงกระดูกทั้งหลายที่มีการขุดค้นไม่ปรากฏว่าถูกเผาไฟมาก่อน ซึ่งสามารถสันนิษฐานได้ว่าในอดีตยังไม่มีการเผาศพ ส่งผลให้สามารถระบุได้ว่าชุมชนลุ่มน้ำจระเข้สามพันมีความเก่าแก่ก่อนที่จะมีการเผยแผ่ศาสนาพุทธมายังพื้นที่ลุ่มน้ำจระเข้สามพัน โดยชุมชนโบราณที่อยู่ลุ่มน้ำจระเข้สามพันน่าจะมีความเชื่อในเรื่องของวิญญาณมาก่อน ตามลักษณะของความเชื่อดั้งเดิมของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม การขุดค้นทางโบราณคดีมีการค้นพบเครื่องรางตามความเชื่อในยุคสมัยนั้นในบริเวณที่มีการฝังศพ นอกจากนี้ในหลุมศพที่มีการขุดค้นพบในลุ่มน้ำจระเข้สามพัน มีการพบเครื่องประดับ ข้าวของเครื่องใช้จำนวนมาก ดังนั้นในชุมชนน่าจะมีความเชื่อในโลกหน้า และข้าวของเครื่องใช้ที่พบในหลุมศพนั้นก็คือเครื่องอุทิศ ที่เชื่อว่าเมื่อผู้ที่ตายไปแล้วเกิดมาอีกครั้งตามความเชื่อจะมีข้าวของเครื่องใช้ที่ฝังในหลุมศพไว้ใช้ในการเกิดใหม่ หลุมขุดค้นทางโบราณคดีบางหลุมยังมีการค้นพบกลองมโหระทึกที่มีความคล้ายกับกลองมโหระทึกในวัฒนธรรมดองซอน หรือดงเซิ่นในเวียดนาม โดยอาจจะมีความเชื่อมโยงหรือมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบการค้าและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน

            นอกจากความสัมพันธ์กับดินแดนในเวียดนาม ยังมีการค้นพบความสัมพันธ์กับดินแดนในแถบอินเดีย อาหรับ และดินแดนในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีหลักฐานการค้นพบลูกปัดที่ทำด้วยหินคาร์เนเลียน อาเกต เป็นต้น หากพิจารณาจากสิ่งที่ค้นพบ อาจจะทำให้เห็นถึงความสำคัญของชุมชนลุ่มน้ำจระเข้สามพันได้ จากวัตถุโบราณที่ขุดค้นพบ เนื่องจากถือเป็นพยานวัตถุที่กล่าวได้ว่าชุมชนจระเข้สามพันนั้นมีความสำคัญ และฐานะของโครงกระดูกที่มีการขุดพบวัตถุโบราณหลายชิ้นที่บ่งบอกว่ามาจากดินแดนภายนอก ดังนั้นหลุมศพที่มีข้าวของเครื่องใช้ที่มาจากภายนอก อาจกล่าวได้ว่ามีการให้ความสำคัญกับฐานะของผู้ที่อยู่ในหลุม ซึ่งผู้ที่เสียชีวิตไป หากเป็นผู้ปกครองหรือมีฐานะที่สูงในสังคมขณะนั้น อาจมีการฝังข้าวของเครื่องใช้ที่มีมูลค่าสูงและมาจากดินแดนภายนอก

ชุมชนจระเข้สามพันในยุคก่อนเข้าสู่ประวัติศาสตร์

            จากการศึกษาทางโบราณคดีมีการค้นพบโบราณวัตถุ โบราณสถานที่ส่งผลถึงความสำคัญของชุมชนลุ่มน้ำจระเข้สามพัน เนื่องจากการค้นพบนั้นพบพัฒนาการทางสังคมอย่างมาก ทั้งข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับ ตลอดจนรูปแบบโครงสร้างชุมชนตั้งแต่เริ่มแรกจนพัฒนามาเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีการพัฒนาโครงสร้างทางสังคมที่ได้รับอิทธิพลจากภายนอก อาจจะมาจากการได้รับอิทธิพลจากอินเดีย มีการนับถือศาสนา ต่อเนื่องจากนั้นมีการรับอิทธิพลจากอารยธรรมฟูนัน และทวารวดีเป็นลำดับ ซึ่งนักวิชาการบางท่านมีแนวคิดว่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำจระเข้สามพันบริเวณพื้นที่เมืองโบราณอู่ทอง อาจเป็นศูนย์กลางของแหล่งอารยธรรมทวารวดี เนื่องจากมีการพัฒนาความเจริญเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ และมีความสัมพันธ์กับดินแดนใกล้เคียง ดินแดนภายนอก ส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าทางเศรษฐกิจ ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมจากภายนอก อาจจะส่งผลให้ผู้คนจากภายนอกเดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำจระเข้สามพันอีกด้วย

            ดินแดนจากภายนอกที่สำคัญอาจรวมถึงเมืองออกแก้วในเวียดนาม ผู้คนจากอินเดีย ตลอดจนรับอิทธิพลจากฟูนันในระยะแรก ซึ่งมีการค้นพบเครื่องประดับที่ทำมาจากทองคำตามรูปแบบของฟูนัน ฟูนันเป็นดินแดนที่รับอิทธิพลจากอินเดียทางด้านวัฒนธรรมสูงมาก เพราะในยุคแรกเริ่มเดิมทีมีการรับวัฒนธรรมพราหมณ์-ฮินดู จากนั้นมีการนับถือศาสนาพุทธคล้ายกับชุมชนลุ่มน้ำจระเข้สามพันในช่วงที่ศิลปะอมราวดีรุ่งเรือง อีกทั้งในช่วงปลายของฟูนันมีการนับถือศาสนาพุทธที่มีรูปแบบศิลปะแบบคุปตะตามแบบทวารวดีที่เป็นยุคเริ่มต้น ก่อนจะมีวิวัฒนาการมาเป็นศิลปวัฒนธรรมแบบทวารวดี ซึ่งเป็นแบบเฉพาะพื้นที่ที่พบเจอในภาคกลางของไทย ซึ่งหมายถึงบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำจระเข้สามพันที่เมืองโบราณอู่ทอง อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า ศิลปวัฒนธรรมช่วงแรกของทวารวดีอาจได้รับมาจากฟูนันตอนปลายก็เป็นได้ ก่อนที่ฟูนันจะล่มสลายลงไป และเจนละได้กลายมาเป็นศูนย์กลางแห่งพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงแทนฟูนัน หรือศูนย์กลางของฟูนันอาจจะอยู่ที่อู่ทอง ซึ่งยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เพราะจากการสันนิษฐานปรากฏว่ามีเมืองถึง 15 เมืองในเขตภาคกลางของไทยมีร่องรอยอารยธรรมฟูนันอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อศึกษาบริเวณพื้นที่อินโดจีนจะพบว่ามีเพียง 4 เมืองเท่านั้นที่มีอิทธิพลจากฟูนัน

            นอกจากนี้ บริเวณภาคกลางของไทยมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์สืบต่อมาเป็นลำดับ แต่ทางอินโดจีนปรากฏว่าหลักฐานทิ้งช่วงขาดหายไปเป็นจำนวนมาก หากจะพิจารณาในพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ภาคกลางของไทย น่าจะเป็นศูนย์กลางของฟูนัน เพราะมีการสืบต่อพัฒนาการบ้านเมืองอย่างมีพลวัต อย่างไรก็ดี ชุมชนโบราณลุ่มน้ำจระเข้สามพันจะเป็นศูนย์กลางของฟูนันนั้นคงต้องอาศัยหลักฐานอื่น ๆ มาประกอบ แต่ที่สำคัญ ชุมชนลุ่มน้ำจระเข้สามพันเป็นชุมชนโบราณที่มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง และมีอิทธิพลในภาคกลางของไทยอย่างไม่ต้องสงสัย

ชุมชนลุ่มน้ำจระเข้สามพันในยุคทวารวดี

            ในการศึกษาทางโบราณคดี มีการพบร่องรอยของสิ่งปลูกสร้างในยุคทวารวดีจำนวนมากในพื้นที่ลุ่มน้ำจระเข้สามพัน ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงถึงการมีอยู่ของแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ โดยเฉพาะบริเวณเนินพลับพลา แหล่งโบราณคดีท่าม่วง ตรงเมืองอู่ทองโบราณ พบว่ามีพัฒนาการทางสังคมตั้งแต่เริ่มมีการตั้งถิ่นฐาน โดยระยะแรกยังไม่ได้มีการนับถือศาสนา จากนั้นเมื่อได้รับอิทธิพลของศาสนาพุทธราวศตวรรษที่ 7–8 มีการค้นพบเศษเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมาก แตกต่างกันหลายยุคสมัย ดังนั้น ชุมชนลุ่มน้ำจระเข้สามพันจึงมีความเป็นมาที่ยาวนานและผ่านพัฒนาการทางสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยุคเริ่มก่อตั้งชุมชน ยุคฟูนัน ยุคทวารวดี ตลอดจนยุคที่มีการสร้างดินแดนแว่นแคว้นในกลุ่มเมืองภาคกลางของไทย การตั้งถิ่นฐานอาศัยนี้อยู่ในรูปของการอยู่อาศัยอย่างถาวร ที่มีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมที่ได้รับมาจากดินแดนภายนอกที่ผ่านมาจากความสัมพันธ์ในหลากหลายรูปแบบ การรับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดียที่มีวัฒนธรรมทางด้านศาสนาเป็นแกนกลาง ส่งผลให้มีการสร้างชุมชนรูปแบบอินเดีย มีรูปแบบการสร้างบ้านแปงเมืองตามคติความเชื่อ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นการสร้างเมืองตามรูปแบบวัฒนธรรมทวารวดี ซึ่งมีแบบแผนตามอินเดียที่วัฒนธรรมทวารวดีรับเข้ามาและปรับใช้อย่างกว้างขวาง ซึ่งเมืองอู่ทองโบราณบริเวณลุ่มน้ำจระเข้สามพันก็มีการรับและปรับใช้นั้น โดยกล่าวโดยสรุป การสร้างเมืองมีลักษณะตามคติความเชื่อที่ต้องให้เมืองมีลักษณะเป็นเมืองที่มี 4 ด้าน มีภูเขา มีด้านหนึ่งเป็นทะเลหรือแหล่งน้ำเพื่อสัญจร เมื่อพิจารณาก็พบว่าในอดีต ทะเลอ่าวไทยนั้นมีชายฝั่งอยู่ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย

            เมื่อหลักฐานหลายประการประกอบกันเรื่องการก่อตั้งเมืองในลุ่มน้ำภาคกลาง จะพบว่ามีการรับวัฒนธรรมจากอินเดียและมีการผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิม จึงมีการสรรค์สร้างศิลปะและวัฒนธรรม จนเรียกว่าวัฒนธรรมทวารวดี เมืองโบราณอู่ทองที่ลุ่มน้ำจระเข้สามพันถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศิลปะและวัฒนธรรมแบบทวารวดีอีกแห่งหนึ่ง จนเชื่อว่าเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มนครรัฐในยุคนั้นเป็นกลุ่มเมืองทวารวดี ซึ่งเป็นกลุ่มเมืองที่มีวัฒนธรรมในรูปแบบเดียวกัน คือวัฒนธรรมทวารวดีที่แพร่กระจายอยู่ทั่วไปในดินแดนไทยหากพิจารณาจากหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ การที่วัฒนธรรมอินเดียเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนต่าง ๆ ก็เพื่อการค้าเป็นหลัก แต่ก็มีการนำศาสนาเข้ามาเผยแผ่ในพื้นที่ที่มีการค้าด้วย เมืองต่าง ๆ ที่สร้างบ้านแปงเมืองให้มีขนาดใหญ่โตก็เพื่อจุดประสงค์เป็นศูนย์กลางทางการค้า เมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจระเข้สามพันก็เป็นหนึ่งในเมืองที่มีการขยายพื้นที่เพื่อจุดประสงค์ทางการค้าเช่นกัน เนื่องจากเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจระเข้สามพันถือเป็นเมืองที่มีความโดดเด่นทางด้านภูมิศาสตร์ อยู่ในลุ่มน้ำจระเข้สามพัน ใกล้แม่น้ำสุพรรณบุรี (แม่น้ำสุพรรณบุรีเป็นแม่น้ำที่แยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลผ่านจังหวัดชัยนาท จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐม และจังหวัดสมุทรสาคร ก่อนจะไหลออกสู่อ่าวไทยที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร มีความยาวทั้งสิ้นประมาณ 315 กิโลเมตร มีชื่อเรียกหลายชื่อ เมื่อไหลผ่านจังหวัดชัยนาทเรียกว่า “คลองมะขามเฒ่า”) ผ่านจังหวัด สุพรรณบุรีเรียกว่า “แม่น้ำสุพรรณบุรี” เมื่อไหลผ่านจังหวัดนครปฐม เรียกว่า “แม่น้ำนครชัยศรี” และเมื่อไหลผ่านจังหวัดสมุทรสาครลงสู่อ่าวไทย เรียกว่า “แม่น้ำท่าจีน” และเป็นบ้านเมืองที่อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา จึงเป็นพื้นที่ที่สามารถทำการค้าได้อย่างกว้างขวางและมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก

            ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์จีนที่มีการบันทึกเหตุการณ์ร่วมสมัย ได้มีการจดบันทึกถึงดินแดนทวารวดีไว้พอสมควร และระบุว่าทวารวดีเป็นศูนย์กลางของไทยในช่วงเวลาที่มีการจดบันทึกไว้จากหลักฐานจีน ส่งผลให้มีการศึกษาเกี่ยวกับทวารวดีว่า แท้จริงศูนย์กลางของทวารวดีอยู่บริเวณพื้นที่ใด เริ่มต้นเมื่อใด และเมืองใดเป็นศูนย์กลางที่แท้จริงนักวิชาการทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์หลายท่านมีแนวคิดว่า เมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพัน อาจเป็นศูนย์กลางของทวารวดีก็เป็นได้ เนื่องจากเมืองสำคัญทางลุ่มแม่น้ำภาคกลางมีอยู่ 3 เมืองด้วยกัน คือ เมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพัน เมืองโบราณคูบัวในลุ่มแม่น้ำแม่กลอง และเมืองนครปฐมโบราณในลุ่มแม่น้ำนครชัยศรี อย่างไรก็ตาม เมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันเป็นเมืองที่มีความสำคัญในวัฒนธรรมทวารวดีช่วงต้นอย่างแน่นอน แต่จะเป็นศูนย์กลางทางการปกครองตามที่นักวิชาการบางท่านได้ให้ข้อสันนิษฐานไว้นั้น ยังคงต้องมีการศึกษากันต่อไป

เมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันในยุคทวารวดี

            การขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณเขตเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันมีอาณาเขตไม่มาก อย่างไรก็ดี หลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบมีความหลากหลายและกระจัดกระจายอย่างมาก มีการสันนิษฐานว่าเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันน่าจะมีความสำคัญมาตั้งแต่เริ่มประวัติศาสตร์ และมีความสำคัญอย่างแน่นอนในยุคทวารวดี จากสิ่งที่ค้นพบทางโบราณคดี ทำให้เห็นว่าเมืองนี้มีความโดดเด่นและน่าจะเป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งในดินแดนโบราณของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลักฐานทางโบราณคดีพบว่าสิ่งที่ค้นพบมีความหลากหลาย และมีลักษณะของการประสานอารยธรรมหลายยุคหลายสมัยเข้าด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ก่อนยุคประวัติศาสตร์ ยุคที่เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์อีกทั้งยังพบว่าได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดีย โดยในยุคสมัยทวารวดี พบหลักฐานเกี่ยวกับวัฒนธรรมอมราวดี ซึ่งพบไม่มากในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ศิลปะแบบคุปตะและหลังคุปตะกลับพบมากในวัฒนธรรมทวารวดี ผู้คนในทวารวดีมีภูมิปัญญาของช่างท้องถิ่น มีการรักษาจารีต ขนบธรรมเนียม ประเพณี และนำมาผสมผสานกัน แล้วสรรค์สร้างเป็นรูปแบบทางศิลปวัฒนธรรมเฉพาะตัวของทวารวดี ทำให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์กับดินแดนภายนอกจากอินเดีย ตลอดจนความสัมพันธ์กับดินแดนที่ห่างไกลไปถึงดินแดนทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยหลักฐานที่พบ เช่น ลูกปัด เงิน เหรียญต่าง ๆ

            ความน่าสนใจของเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพัน จากหลักฐานทางโบราณคดีสามารถระบุได้ว่า มีความเก่าแก่กว่านครปฐม ซึ่งนักวิชาการจำนวนไม่น้อยมีแนวคิดว่าเป็นศูนย์กลางของทวารวดี ทั้งศิลปะอมราวดี คุปตะ และหลังคุปตะของเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพัน ก็มีความเก่าแก่กว่านครปฐม ทั้ง หลักฐานวัตถุ
หลักฐานที่เป็นศาสนสถานสามารถระบุได้ว่ามีความเก่าแก่กว่าพระประโทนเจดีย์ ในเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพัน เป็นเมืองที่มีศิลปวัฒนธรรมทวารวดีเพียงแห่งเดียวที่มีการจารึกแผ่นทองแดงเป็นภาษาสันสกฤตโบราณ ระบุพระนามกษัตริย์หรรษวรมัน ทำให้มีน้ำหนักต่อข้อสันนิษฐานที่ว่า เมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันเป็นเมืองหลวงของกษัตริย์ที่มีพระนามพระองค์นั้น ด้านสิ่งก่อสร้างทางศาสนา มีการขุดค้นพบทางโบราณคดีที่ไม่เคยพบมาก่อนในดินแดนไทย โดยมีลักษณะเป็นเจดีย์แปดเหลี่ยม พบพระพุทธรูป พระพิมพ์ต่าง ๆ และพบศิวลึงค์ เทวรูปอีกด้วย ด้านสาธารณูปโภค มีการค้นพบทำนบกั้นน้ำ เพนียดคล้องช้าง และพบลักษณะการเดินทางระหว่างดินแดนที่มีทั้งเส้นทางคมนาคมทางบกและทางน้ำ นอกจากนี้ยังมีการขุดค้นพบโบราณสถานมากถึง 47 แห่ง ภายในรัศมี 4 กิโลเมตรจากศูนย์กลางเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพัน ทำให้ทราบว่าเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีต

            ในอดีตจากการศึกษาทางธรณีวิทยาปรากฏว่า อู่ทองเคยเป็นเมืองที่มีชายทะเลมาก่อน จึงมีลักษณะเป็นเมืองท่า ดังนั้นจึงน่าจะมีบทบาทสำคัญมาก่อนเมืองนครปฐมโบราณอย่างแน่นอน เพราะนครปฐมโบราณยังคงเป็นท้องทะเลอยู่ก่อน จากนั้นเมื่อชายทะเลหดถอยลง จึงเกิดเมืองนครปฐมโบราณขึ้น เมืองโบราณคูบัวที่จังหวัดราชบุรี และเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันมีถนนหรือเส้นทางคมนาคมไปยังดินแดนต่าง ๆ หากพิจารณาถึงสภาพทางภูมิศาสตร์จะเห็นได้ว่าเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ลูกปัดและหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันมีอายุเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ร่วมสมัยกับอารยธรรมฟูนัน และหลักฐานจากจีนก็มีการระบุถึงดินแดนในไทย ซึ่งอาจรวมถึงเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันที่มีความสำคัญอย่างมากในดินแดนภาคกลางของไทย แม้หลักฐานทางโบราณคดีระบุว่าเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันมีความเก่าแก่กว่านครปฐม แต่หลักฐานทางโบราณคดีในนครปฐมมีขนาดใหญ่โตและมีจำนวนมากกว่า ขนาดของเมืองก็ใหญ่โตกว่าเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพัน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันมีความสำคัญอย่างแน่นอน หรืออาจกล่าวโดยสรุปว่า เมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันมีความสำคัญมาก่อนนครปฐม ก่อนที่นครปฐมจะก้าวขึ้นมามีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางของทวารวดี อย่างไรก็ตาม พอถึงช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 13 ถึง 16 เมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันได้มีบทบาทที่ลดลง เพราะความสำคัญทางการค้าได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองนครปฐมโบราณ ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลมากยิ่งกว่า ในที่สุด เมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันได้ถูกทิ้งร้างไป จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่าศาสนสถานที่เป็นหลักฐานของความเจริญสิ้นสุดลงที่ศตวรรษที่ 16 จึงสันนิษฐานได้ว่าในระยะเวลานั้น เมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันถูกทิ้งร้างไป เนื่องจากความสำคัญลดลง แม่น้ำได้เปลี่ยนทิศทางการไหล และน่าจะถูกน้ำท่วมก่อนที่แม่น้ำจะเปลี่ยนทิศ พร้อมกับการล่มสลายของเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพัน

            เรื่องของชาติพันธุ์ที่มีการอาศัยอยู่ในเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันนั้น ไม่สามารถที่จะระบุได้ว่าเป็นชาติพันธุ์ใด ถึงแม้จะมีการค้นพบจารึกภาษามอญโบราณที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคทวารวดี แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันเป็นชาวชาติพันธุ์ใด อนึ่ง ภาษามิได้เป็นสิ่งที่สามารถระบุชาติพันธุ์ได้อย่างชัดเจน เพราะการใช้ภาษามอญโบราณอย่างแพร่หลายในยุคทวารวดีนั้น เป็นผลจากการหยิบยืมภาษามาใช้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในช่วงเวลาที่ยังไม่มีภูมิปัญญาเพียงพอในการประดิษฐ์คิดค้นภาษาเอง จึงจำเป็นต้องหยิบยืมภาษาจากกลุ่มชนที่มีความเจริญกว่ามาใช้ นอกจากนี้ จากการศึกษาทางประวัติศาสตร์ยังมีประเด็นที่กล่าวว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 หรือขุนหลวงพะงั่ว ได้ร่วมมือกับพระเจ้าอู่ทอง หรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ในการสถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นไปได้ว่าประชากรในกลุ่มเมืองเขตสุพรรณบุรี ซึ่งอาจรวมเมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันด้วยนั้น ได้เข้าไปเป็นประชากรในกรุงศรีอยุธยาที่สถาปนาขึ้นมา ส่งผลให้เมืองโบราณอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันเสื่อมความสำคัญลง และร้างไป หรืออาจมีจำนวนประชากรลดลงจนกลายเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ดูแลการค้าภายในบริเวณลุ่มน้ำจรเข้สามพัน ต่อมาเมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลายลง พื้นที่ลุ่มน้ำจรเข้สามพันก็กลับมีประชากรเพิ่มขึ้นอีกครั้งจากการเทครัวประชาชนจากดินแดนต่าง ๆ ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ อีกทั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การค้าขายสินค้าทางการเกษตรก็ขยายตัวมากขึ้นหลังการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง พื้นที่ลุ่มน้ำจึงกลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวจำนวนมาก เมืองอู่ทองในลุ่มน้ำจรเข้สามพันจึงกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง และได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอมาตั้งแต่ พ.ศ. 2445 เป็นอำเภอหนึ่งในการปกครองของเมืองสุพรรณบุรี มณฑลนครชัยศรี โดยมีศูนย์กลางการบริหารราชการอยู่บริเวณวัดโพธาราม เรียกว่า “อำเภอจรเข้สามพัน” ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “อำเภอเมืองท้าวอู่ทอง” ใน พ.ศ. 2482 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งอยู่ในยุคของการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างไรก็ดี ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งใน พ.ศ. 2487 โดยทางราชการได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “อำเภออู่ทอง” และย้ายศูนย์กลางการปกครองของอำเภอไปอยู่ตรงบริเวณคูเมืองท้าวอู่ทองโบราณ ส่งผลให้อดีตอำเภอท้าวอู่ทองถูกลดสถานะลงเป็นเพียงตำบล เรียกว่า ตำบลจรเข้สามพัน จนถึงปัจจุบันนี้