ชื่อเรียกตนเอง : ลาวเวียง ลาวกลาง

ชื่อที่ผู้อื่นเรียก : ไทยเวียง ลาวตี้ (เนื่องจากคนกลุ่มนี้จะมีคำลงท้ายประโยคว่า “ตี้” เสมอ)

ตระกูลภาษา : ภาษาลาวเวียง

Download:

กลุ่มชาติพันธุ์ลาวเวียง:  กลุ่มชาติพันธุ์นี้อาศัยอยู่ที่ ตำบลดอนคา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ชาวลาวเวียงบ้านดอนคาประกอบอาชีพทำนาเป็นหลักตั้งแต่อดีต โดยทำกันปีละครั้ง เรียกว่า นาปีหรือนาน้ำฝน อาศัยแรงงานจากควาย ดังนั้น ใต้ถุนเรือนทุกหลังจึงมีพื้นที่บางส่วนกันไว้ใช้เลี้ยงควาย ภูมิปัญญา ลาวเวียงบ้านดอนคา โดดเด่นในเรื่องการประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษผ่านการรู้จักทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่จะทำขึ้นจาก ไม้ไผ่ นำมาจักสานเป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น กระบุง ตะกร้า ตะแกรง กระด้ง กระเซอ ฯ สำหรับใช้ในเรือน นอกจากนี้ยังมีการประดิษฐ์เป็นเครื่องมือทำมาหากิน เช่น สุ่มดักปลา คันเบ็ดตกปลา ไซ ค้อง อีโง่(ลอกดักปลา) ฯ ชุมชนดอนคาจะมีประเพณีที่หลากหลาย ได้แก่ “ประเพณีบุญข้าวจี่” เดือน 3 ขึ้น 15 ค่ำ โดยจะมีการปั้นข้าวจี่ถวายพระ (ข้าวจี่ที่นี้จะทำเป็นก้อน แล้วเอาไปย่างจากนั้นจะชุบน้ำตาล และก็ไข่ จะทำเฉพาะมีประเพณี) โดยชาวลาวเวียงนิยมบายศรีสู่ขวัญทุกช่วงเวลาของชีวิต เช่น การสู่ขวัญนาค เพื่อเป็นสิริมงคล โดยมุ่งการสอนให้ยึดมั่นในพุทธศาสนา การปฏิบัติตนเมื่อเป็นพระภิกษุ และระลึกถึงคุณบิดามารดา การแสดง ลิเกลาว หรือ หมอลำเรื่องต่อกลอน เป็นการรับเอาวัฒนธรรมจากภาคอีสานมาสู่ชุมชนบ้านดอนคา เนื่องจากในอดีตนอกจากการตั้งถิ่นฐานของชาวลาวเวียงบ้านดอนคาแล้ว ยังมีการเข้ามาอาศัยของชาวอีสานที่หนีความแห้งแล้งออกมาหาพื้นที่ทำกินที่อุดมสมบูรณ์และเดินทางมาถึงพื้นที่ชุมชนบ้านดอนคาในปัจจุบัน

โดยกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้ง 5 กลุ่ม ของอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จะมีวัฒนธรรมและภาษาพูดเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นภาษาและศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิต ความรู้ภูมิปัญญา ประเพณีต่างๆ กลุ่มชาติพันธุ์เป็นทุนทางสังคมที่สำคัญ มีคุณค่าด้านประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาและความรู้ที่เกี่ยวกับมนุษย์ การดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์

ชื่อกลุ่มชาติพันธ์ุ

ชื่อที่ใช้เรียกตัวเองและชื่อที่คนภายนอกเรียกลาวเวียง : ชื่อที่ใช้เรียกตัวเองคือ ลาวเวียง ลาวกลาง และชื่อที่คนภายนอกเรียก คือ ไทยเวียง ลาวตี้ (เนื่องจากคนกลุ่มนี้จะมีคำลงท้ายประโยคว่า “ตี้” เสมอ)

สถานที่ตั้ง: เขตพื้นที่ที่กลุ่มชาติพันธุ์นั้นอาศัยอยู่ (เช่น จังหวัด อำเภอ ตำบล) ตำบลดอนคา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

การตั้งถิ่นฐานและการกระจายตัวประชากร

ข้อมูลจำนวนประชากรที่อยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์นั้น: ชุมชนลาวเวียงบ้านดอนคา ตำบลดอนคา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นชุมชนขนาดใหญ่มีทั้งหมด 20 หมู่บ้าน ในจำนวนนี้มีชาวลาวเวียงแทรกตัวอยู่ถึง 7 หมู่บ้าน ประกอบด้วยหมู่ 1 บ้านดอนคาหัวตาล หมู่ 2 บ้านดอนคา หมู่ 6 บ้านโนนหอ (โนนหอ บ้านโนนหัวนา บ้านโนนก่าม) หมู่ 10 บ้านโนน หมู่ 17บ้านหนองหมู – โนนแดง หมู่ 18 บ้านหนองทราย และหมู่ 19 บ้านห้วย (บ้านห้วย บ้านยาว) โดยมีบ้านดอนคาเป็นหมู่บ้านดั้งเดิมที่บรรพบุรุษพาลูกหลานอพยพตั้งบ้านเรือนจนกลายเป็นชุมชนเช่นในปัจจุบัน

จำนวนประชากรลาวเวียงทั้ง 7 หมู่บ้านคือ  5,253 คน

การใช้ภาษา

ภาษาแม่: ภาษาหลักที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ภาษาลาวเวียง ชาวลาวเวียงดอนคา มีภาษาพูดเป็นของตนเอง แต่ไม่พบหลักฐานด้านภาษาเขียนสันนิษฐานว่าเมื่ออพยพมาอยู่ในประเทศไทย ชาวลาวเวียงใช้การสื่อสารด้วยการพูดเป็นหลักจึงทำให้ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรหลงเหลืออยู่ พบว่าปัจจุบันชาวลาวเวียงยังคงใช้ภาษาลาวเวียงในการสื่อสารกันในชุมชน ทั้งผู้เฒ่าผู้แก่และเยาวชนทั่วไป แต่มีการออกเสียงบางคำที่มีความแตกต่างจากลาวเวียงในจังหวัดอื่น ซึ่งอาจเป็นเพราะอิทธิพลของภาษาท้องถิ่นกลุ่มอื่นที่ชาวลาวเวียงได้ปฏิสัมพันธ์ด้วยทำให้มีการออกเสียงแตกต่างกัน (วิราพร หงษ์เวียงจันทน์. 2558)

การใช้ภาษาลาวเวียงเป็นภาษาสื่อสารกันในชุมชนทุกกลุ่มทุกเพศ ทุกช่วงอายุในชุมชนของตนเอง รวมทั้งเมื่ออยู่นอกชุมชนเมื่อต้องติดต่อสื่อสารกับชาวลาวเวียงด้วยกันก็จะใช้ภาษาลาวเวียงในการติดต่อสื่อสารด้วยความภาคภูมิใจ เนื่องจากสะท้อนให้เห็นว่าแม้ว่าสังคมจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามอิทธิพลของโลกาภิวัฒน์ แต่ในด้านภาษานั้นชาวลาวเวียงยังคงพยายามรักษาภาษาของตนเองซึ่งเป็นอัตลักษณ์เด่นอีกหนึ่งประการของชาวลาวเวียงไว้ได้อย่างเข้มแข็งและภาคภูมิในในภาษาของตนเอง

ภาษาที่สอง: ภาษาที่สามารถใช้สื่อสารได้เพิ่มเติม

ภาษาไทยกลาง

การใช้ภาษา: บริบทและโอกาสในการใช้แต่ละภาษา (เช่น ในครอบครัว, ในชุมชน, ในที่ทำงาน) ภาษาลาวเวียง ภาษาไทยกลาง

ศาสนาและความเชื่อ

ศาสนาหลัก: ศาสนาที่กลุ่มชาติพันธุ์นั้นนับถือ ศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท

ความเชื่อดั้งเดิม: ความเชื่อพื้นบ้านหรือการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามาเผยแผ่และมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต ชาวลาวเวียงมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของอำนาจเหนือธรรมชาติเป็นพื้นฐานสำคัญ

สำหรับคนลาวเวียง ผีคือวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วหรือที่มีอยู่แล้วโดยไม่ทราบว่ามีมาแต่เมื่อใดหรือมีมาอย่างไร ผีเหล่านี้ประกอบด้วยผีประเภทต่าง ๆ เช่น ผีนา ผีป่า ผีเขา ผีบ้านผีหมู่บ้าน ผีปู่ย่าตายาย ผีฟ้า ผีแถน และผีอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งผีที่เกิดจากการกระทำของบุคคล เช่น ผีปอบ ความเชื่อเรื่องผีอันเป็นความเชื่อที่มีมาแต่เดิม ผสมผสานกับความเชื่อในพระพุทธศาสนาจนแทบจะแยกกันไม่ออกว่าพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อในพระพุทธศาสนาหรือพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อเรื่องผี

ดังเช่น พิธีกรรมเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษของชาวลาวเวียง ที่สะท้อนผ่าน “พิธีเบิกหอบ้าน” ซึ่งเป็นประเพณีที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีเพื่อแสดงความเคารพสักการะผีบรรพบุรุษ โดยจะทำพิธีหอผีบรรพบุรุษประจำชุมชน เป็นสื่อสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าชาวลาวเวียงในพื้นที่นั้น ๆ สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ชาวลาวเวียงเชื่อว่าผีบรรพบุรุษจะเป็นผีที่ให้ความคุ้มครองชาวบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข ทั้งชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนและชาวบ้านที่เดินทางออกไปทำงานนอกชุมชน แต่เดิมนั้นเป็นเพียงพิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษโดยเฉพาะแต่เมื่อได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ ชาวลาวเวียงจึงได้นำเอาพิธีทางศาสนาเข้ามาผสมผสาน โดยมีการนิมนต์พระมาสวดมนต์ในพิธี สะท้อนการปสมผสานระหว่าง ผีและพุทธในคราวเดียวกัน

พิธีเบิกหอบ้านจะจัดขึ้นในเดือนเจ็ดของทุกปี เมื่อกำหนดวันที่จะทำพิธีได้แล้วจะนำพระสงฆ์มาสวดมนต์เย็น ณ บริเวณลานหน้าหอบ้าน ชาวลาวเวียงจะมาพร้อมกันในบริเวณลานพิธี ที่จัดที่มีการจัดเตรียม โดยมีขันน้ำสำหรับทำน้ำมนต์และฝ้ายมงคลสำหรับเข้าร่วมพิธีด้วย เพื่อรับการสวดให้เกิดความเป็นสิริมงคลและชาวบ้านจะนำไปไว้บริเวณบ้านเรือนของตน ต่อมาในช่วงเช้า ชาวลาวเวียงทุกหลังคาเรือนจำทำกระทงกล้วยสามเหลี่ยมที่เรียกว่า “กระทงหน้าวัว” พร้อมแต่งเครี่องสักการะบูชาเป็นต้นว่า ข้าวดำ ข้าวแดง แกงส้ม แกงหวาน เมี่ยง หมาก พริกเกลือ ปั้นรูปคนรูปสัตว์ในครัวเรือนของตนใส่ในกระท  งนั้นด้วย เพื่อถวายบูชาแก่ท้าวมหาราชทั้งสี่ที่รักษาประจำทิศ เพื่อให้หายทุกข์โศกโรคภัยไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ตามความเชื่อของชาวลาวเวียงที่ว่า ท้าวทั้งสี่จะนำความอัปมงคลออกไปจากครัวเรือน (วรรณพร บุญญาสถิตย์ และคณะ, 2559, หน้า 25-26)

นอกจากนั้น ชาวลาวเวียงได้รับความเชื่อจากอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ เกิดเป็นการบายศรีสู่ขวัญ ในสังคมไทยพบร่องรอยว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา คำว่า “บาย” เป็นภาษาเขมรแปลว่า “ข้าว” ข้าวที่เป็นศรีหรือเป็นสิริมงคลเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้กับเทพ ข้าวจึงเป็นส่วนประกอบในพิธีบายศรีสู่ขวัญตามความเชื่อของพราหมณ์ ขวัญเป็นคำโบราณที่ใช้มานานและยังเป็นความเชื่อของกลุ่มคนในภูมิภาคเอเชีย ชาวลาวเรียกขวัญว่า “ขวน” โดยเชื่อว่าร่างกายประกอบด้วยสิ่งที่มองเห็นเป็นรูปร่าง และสิ่งที่มองไม่เห็น คล้าย ๆ กับวิญญาณแต่ไม่ใช่วิญญาณ เป็นสิ่งสำคัญที่คน สัตว์ หรือแม้กระทั่งสิ่งของบางชนิดต้องมีขวัญ โดยคนคนหนึ่งจะมีเพียงหนึ่งขวัญ ถ้าหากเวลาใดขวัญออกห่างจากร่างกาย จะส่งผลให้คนนั้นมีอาการอ่อนแอ เจ็บป่วยและอาจเสียชีวิตไปในที่สุด โดยเชื่อกันว่าการที่ร่างย้ายจากสถานะหนึ่งหรือย้ายจากที่หนึ่งไปอยู่อีกที่หนึ่งอย่างกะทันหัน เช่น การไปทำงานต่างถิ่น การไปเที่ยวสนุกสนานจนลืมตัว อาจทำให้ขวัญเหินห่างจากร่างได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ขวัญออกจากร่างกาย หรือให้ขวัญกลับเข้าสู่ร่างเดิม จึงมีพิธีเรียกขวัญ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรับขวัญ บำรุงขวัญให้กำลังใจ และถือเป็นการอวยพรให้ประสบความสุขความเจริญ

ความเชื่อเรื่องขวัญก่อให้เกิดพิธีสู่ขวัญโดยชาวลาวเวียงนิยมบายศรีสู่ขวัญทุกช่วงเวลาของชีวิต เช่น การสู่ขวัญนาค เพื่อเป็นสิริมงคล โดยมุ่งการสอนให้ยึดมั่นในพุทธศาสนา การปฏิบัติตนเมื่อเป็นพระภิกษุ และระลึกถึงคุณบิดามารดา

การสู่ขวัญแต่งงานเพื่อให้เกิดความสุขสวัสดิ์โชคดีแก่คู่บ่าวสาว มีความมุ่งหมายเพื่อสอนเกี่ยวกับการครองเรือน แต่เดิมพิธีการสู่ขวัญจะจัดให้เฉพาะคู่บ่าวสาวที่ปฏิบัติตนตามธรรมเนียมไม่ชิงสุกก่อนห่ามเท่านั้น แต่ปัจจุบันปรับเปลี่ยนไป โดยสามารถทำพิธีสู่ขวัญให้กับคู่บ่าวสาวในทุกกรณี

การสู่ขวัญขึ้นบ้านใหม่จัดขึ้นเมื่อมีการย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ จัดขึ้นเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับเจ้าของเรือน ตามความเชื่อดั้งเดิมที่ว่า ที่ดินและไม้ที่นำมาสร้างบ้านมักมีเจ้าของรักษาอยู่ เมื่อจะเข้าพักอาศัยหรือประกอบกิจกรรมใด ๆ จึงต้องประกอบพิธีที่เป็นสิริมงคลเพื่อปัดเป่าสิ่งไม่ดีทั้งปวง

การสู่ขวัญโชคชัยเป็นพิธีสู่ขวัญเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มาเยือนหรือจากไปตามวาระโอกาสต่าง ๆ เช่น การสู่ขวัญเมื่อมีญาติผู้ใหญ่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นเข้ามาเยี่ยมเยียน เป็นต้น

พิธีกรรมและเทศกาล: การปฏิบัติทางศาสนาและพิธีกรรมที่สำคัญ พิธีกรรมของชาวลาวเวียงที่สำคัญ

พิธีเบิกหอบ้าน

เป็นพิธีที่จัดขึ้นทุกปีเพื่อแสดงความเคารพสักการะผีบรรพบุรุษซึ่งเชื่อว่าผีบรรพบุรุษจะเป็นผีที่ให้ความคุ้มครองชาวบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข ทั้งชาวบ้านที่อยู่ในชุมชน และชาวบ้านที่เดินทางไปทำงานนอกชุมชน แต่เดิมนั้นจะเป็นพิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษโดยเฉพาะแต่เมื่อได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ ชาวลาวเวียงจึงได้นำเอาพิธีทางศาสนาพุทธเข้ามาผสมผสานด้วยโดยจะนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ในพิธี สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานหว่าง ผี และพุทธ ในพิธีเดียวกัน

พิธีใต้หางประทีป

เป็นพิธีที่ชาวลาวเวียงตลอดจนภิกษุสามเณรจุดประทีปโคมไฟ เพื่อเป็นพุทธบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันออกพรรษาเป็นเวลา 3 วันชาวบ้านจะร่วมกับวัดจัดสร้าง“ฮ้านประทีป” ขึ้นที่หน้าพระอุโบสถ ฮ้านประทีปสร้างด้วยเสาสี่ต้นใช้ไม้ไผ่หรือไม้อื่นได้ตามความเหมาะสม ประดับด้วยต้นกล้วยต้นอ้อยระหว่างเสาสี่ต้นนั้น ยกพื้นสูงประมาณหนึ่งเมตรพื้นของฮ้านประทีปทำด้วยไม้ไผ่สานขัดแตะตาห่างๆ ท าพิธี 3 วันในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำ เดือน 11

พิธีใต้หางพระทาย

คือการบูชาพระทรายในเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งในพิธีนี้จะเริ่มจากการการสรงน้ำพระและแห่ดอกไม้รอบหมู่บ้านในช่วงเย็นของแต่ละวันเป็นเวลา 3 วัน หลังจากการแห่งดอกไม้แล้วชาวลาวเวียงจะช่วยกันขนทรายเข้ามาก่อกองทรายหลายๆ กองไว้ในบริเวณวัด มีไม้ไผ่ปักไว้เป็นเสากลาง นำดอกไม้ธูปเทียนมาปักไว้รอบกองทรายที่ก่อไว้ จากนั้นพระสงฆ์จะทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และตามด้วยกิจกรรมรื่นเริง รำวง ลำแคนด้วยความสนุกสนาน

ชุมชนดอนคาจะมีเทศกาลที่หลากหลาย ได้แก่

ประเพณีบุญข้าวจี่

 บุญข้าวจี่ เป็นงานบุญประเพณีของชาวลาวเวียง ที่กระทำกันในเดือนสาม จนเรียกว่า บุญเดือนสาม (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3) มีเรื่องเล่ากันตามความเชื่อว่า ในสมัยพุทธกาล นางปุณณะทาสี ได้ทำขนมแป้งจี่ถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอานนท์เถระ ครั้นถวายแล้วนางคิดว่าพระองค์คงไม่เสวย เพราะอาหารที่นางทำไม่ประณีตน่ารับประทาน เมื่อพระองค์ทรงทราบภาวะจิตของนางปุณณะทาสี จึงรับสั่งให้พระอานนท์ปูอาสนะแล้วทรงประทับนั่งฉันขนมที่นางถวาย เป็นผลให้นางเกิดความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อนางได้ฟังพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็บรรลุโสดาบันปัตติผลด้วยอานิสงส์ที่ถวายขนมแป้งจี่ ชาวลาวเวียงเชื่อในอานิสงส์ของการให้ทานดังกล่าว จึงพากันทำข้าวจี่ถวายทานแด่พระสงฆ์สืบมา

ข้าวจี่ คือข้าวเหนียวนึ่งให้สุกแล้วนำมาปั้นเป็นก้อนทาเกลือเคล้าให้ทั่ว นำมาเสียบไม้ย่างไฟ เม็ดข้าวสุกเกรียมแล้วก็เอาไข่ซึ่งตีไว้ทาให้ทั่ว แล้วย่างซ้ำอีกกลายเป็นไข่เคลือบข้าวเหนียว เสร็จแล้วถอดไม้ออกนำไปถวายพระภิกษุสงฆ์ สามเณรฉันตอนเช้า

บุญข้าวจี่หรือบุญเดือนสาม ตามตำนานบ้านดอนคาเล่าขานกันว่า ในการทำบุญใหญ่ๆ มักจะมีมารมาขัดขวางซึ่งเป็นมารคู่เวรของพระพุทธเจ้า และไม่มีเทพองค์ใดที่สามารถปราบได้ นอกจากพระอุปคุตเถระเท่านั้น “พระอุปคุตเถระ” คือพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มาก ท่านเกิดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นลูกเขยของนางมัจฉา มีวัดของท่านอยู่ที่สะดือทะเล ดังนั้นเวลาอัญเชิญพระอุปคุต จึงต้องไปอัญเชิญที่แม่น้ำ สระน้ำ หรือหนองน้ำเพื่อให้งานทำบุญในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีมารใดๆมาขัดขวางการทำบุญ

รูปแบบของประเพณีบุญข้าวจี่ ของชาวดอนคาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ก่อนทำบุญ 1 วันจะทำพิธีแห่พระอุปคุต โดยการสมมติพระคุณเจ้า 1 รูป และสมมติบ่อน้ำในเขตตำบลดอนคาเป็นสะดือทะเลตามตำนาน แล้วชาวลาวเวียงดอนคาจะร่วมกันแห่พระอุปคุตจากบ่อน้ำอัญเชิญไปไว้ที่วัด โดยมีดนตรีบรรเลงเพื่อสร้างความสนุกสนานให้แก่ผู้ร่วมขบวนแห่ เมื่อไปถึงที่วัด พระสงฆ์จะร่วมกันสวดมนต์เย็นให้ศีลให้พร ต่อมาในเวลาค่ำคืนมีการประกวดเทพีข้าวจี่ โดยให้ผู้เข้าประกวดแต่งกายพื้นบ้านแบบลาวเวียงบ้านดอนคา ซึ่งคุณสมบัติของผู้เข้าประกวดจะต้องมีอายุระหว่าง 40-70 ปี เป็นความสนุกสนานที่หลากหลายของผู้เข้าร่วมงาน เนื่องจากมีการตัดสินขวัญใจลาวเวียง ที่ใช้เกณฑ์จำนวนพวงมาลัยที่ได้จำนวนมากที่สุด  

วันสารทลาว

 ลาวเวียงดอนคาได้ร่วมกันจัดงานประเพณีสารทลาว ซึ่งเป็นงานประเพณีที่ชาวลาวเวียงดอนคาให้ความสำคัญมาก โดยงานประเพณีสารทลาวนี้จะไม่กำหนดวันที่แต่จะถือเอาตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 ของทุกปี หรือที่ชาวบ้านมักจะเรียกกันว่าบุญกลางเดือนสิบ งานประเพณีสารทลาวนี้พี่น้องชาวลาวเวียงถือเป็นประเพณีธรรมเนียมโบราณที่ถือปฏิบัติติดต่อกันมาหลายชั่วอายุคนและสั่งสอนกันว่าบุญสารทลาวเป็นบุญใหญ่ ให้ลูกหลานมีน้ำใจต่อกันทั้งคนเป็นและคนตายโดยคนเป็นลูกหลานก็จะนำกล้วย อ้อยและขนม ไปแจกจ่ายตามบ้านญาติพี่น้อง เป็นการแสดงความเคารพและความมีน้ำใจ ส่วนคนตายลูกหลานก็จะนำของไปทำบุญโดยทำข้าวห่อเป็นข้าวแจกข้าวยาย ใส่ตะกร้าไปทำบุญถวายพระแล้วก็กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้

ดังนั้นชาวลาวเวียงดอนคาจึงพากันมาทำบุญที่วัดโภคาราม (วัดดอนคา) ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจกันเป็นจำนวนมากต่างถือปฏิบัติและช่วยกันอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามนี้ไว้สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ งานประเพณีสารทลาวของชาวดอนคานี้นอกจากจะเป็นงานบุญที่ชาวบ้านเชื่อว่าทำบุญแล้วทำครอบครัวมีเจริญรุ่งเรืองมีความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวแล้ว ยังทำให้ชาวบ้านเกิดความสามัคคีกัน เนื่องจากก่อนจะมีพิธีทำบุญช่วงเพล ชาวบ้านต่างก็ช่วยกันจัดหาวัสดุอุปกรณ์การทำขนมกระยาสารท มากวนกระยาสารทกันในวัดโดยมีดนตรีพิณแคนมาขับกล่อมมีนางรำนางเซิ้ง มาเซิ้งมารำสร้างความสุขให้กับผู้ที่มาร่วมทำบุญสุขใจได้บุญอิ่มท้อง

การกวนกระยาสารทเป็นกิจกรรมที่สำคัญรวมทั้งการจัดหาผลไม้ประกอบพิธีบุญ ซึ่งกระยาสารทนี้นอกจากจะกวนเพื่อถวายพระสงฆ์แล้วยังเป็นของฝากนำไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลหรือเพื่อนสนิทมิตรสหายที่เคารพนับถือ ในวันทำบุญชาวลาวเวียงจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงามแบบชาวลาวเวียง นำอาหารคาวหวาน กระยาสารท และผลไม้ต่าง ๆ ไปถวายพระภิกษุสงฆ์ โดยชาวลาวเวียงจะเตรียมกวนกระยาสารทหรือเรียกว่าข้าวตอกแตกก่อนถึงวันทำบุญ 3-4 วัน นอกจากอาหารที่เตรียมสำหรับถวายพระแล้วชาวลาวเวียงจะเตรียมห่อข้าวน้อย (ข้าวแจกข้าวยาย) เพื่อนำไปเลี้ยงผีปู่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เจ้ากรรมนายเวร ผีไม่มีญาติทั้งหลาย โดยหลังจากเสร็จพิธีทำบุญก็จะนำห่อข้าวแจกข้าวยายไปวางไว้ตามต้นไม้ กำแพงวัด หรือเจดีย์บรรพบุรุษ และนำข้าวแจกอีกหนึ่งห่อไปไว้ตามไร่นา เพื่อเลี้ยงเจ้าไร่เจ้านาหรือผีตาแฮก ซึ่งเป็นผีประจำท้องไร่ท้องนา ถือกันว่าเป็นผีที่ปกปักรักษาพืชสวนไร่นา และทำให้ข้าวกล้า เจริญงอกงาม อุดมสมบูรณ์ การทำนาจะได้ผลดี เก็บเกี่ยวได้ผลผลิตมาก (วรรณพร บุญญาสถิตย์ และคณะ, 2559, หน้า 40-42)

ประเพณีตักบาตรเทโว

ประเพณีตักบาตรเทโวโรหณะ คือ วันทำบุยตักบาตรในเทศกาลวันออกพรรษาตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชนว่าเป็นวันที่เสด็จลงจากสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์หลังจากเทศนาอภิธรรมปิฎกโปรดพุทธมารดา

การตักบาตรเทโวฯนี้ส่วนใหญ่ทำในวันออกพรรษา คือ วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 และบางวัดก็ทำในวันรุ่งขึ้น คือวันแรม 1 ค่ำ หรือ 2 ค่ำ เดือน 10 ทั้งนี้ตามการตกลงของทางวัดและประชาชนในชุมชน พิธีที่ทำนั้นทางวัดอัญเชิยพระพุทธรูปประดิษฐานในบุษบก ซึ่งตั้งอยู่บนล้อลื่อนหรือคานหาม  มีบาตรขนาดใหญ่ใบหนึ่งตั้งไว้หน้าพระพุทธรูป มีคนลากล้อเลื่อนไปช้าๆ นำหน้าพระสงฆ์ สามเณร ซึ่งถือบาตรเดินเรียงกันไปตามลำดับ พุทธศาสนิกชนต่างก็นำข้าวสารอาหารแห้ง ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น มาเรียงรายกันอยู่เป็นแถวตามแนวทางที่รถบุษบกเคลื่อนผ่านคอยตักบาตร อาหารที่นิยมใส่บาตร นอกจากข้าวและอาหารคาวหวาน  ธรรมดาแล้วก็จะมีข้าวต้มมัดและข้าวต้มลูกโยนด้วย ซึ่งบางท่านสันนิษฐานว่าในครั้งนั้นผู้คนรอใส่บาตรกันแออัดมากเข้าไม่ถึงพระ จึงใช้ช้าวห่อ หรือปั้นโยนลงในบาตร

พิธีตักบาตรเทโวโรหณะ บ้านดอนคา ณ วัดเขาดีสลัก จัดงานในวันแรม 2 ค่ำ เดือน 11 ทุกปี กิจกรรมในวันตักบาตรเทโวฯ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นประธานพิธีเปิดงานตั้งแต่ 7 โมงเช้า หลังจากนั้นเข้าสู่การตักบาตรเทโวฯ โดยพระสงฆ์จะเดินลงจากภูเขามาทางบันได มีชาวบ้านแต่งกายเป็นเทวดานางฟ้าจากสรวงสวรรค์เดินนำลงมา เป็นการจำลองเหตุการณ์ตามพุทธประวัติ ผู้ร่วมงานต่างนำข้าวของไปใส่บาตรพระกันอย่างเนืองแน่น หลังพิธีการตักบาตรมีการแสดงนาฏยศิลป์ โปงลาง ศิลปะพื้นบ้านวัฒนธรรมลาวเวียงตลอดงาน

งานประเพณีบุญบั้งไฟ

งานประเพณีบุญบั้งไฟ จัดขึ้น ณ วัดโภคาราม ตำบลดอนคา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเป็นการสืบทอดและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีบุญบั้งไฟซึ่งเป็นประเพณี ที่สำคัญ ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ และได้จัดต่อเนื่องกันมาเป็นประจำทุกปี การจัดงานดังกล่าวเป็นการบูชาเทวดาให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล มีน้ำไว้ทำการเกษตรตามความเชื่อดั้งเดิม และชาวตำบลดอนคาก็ให้ความสำคัญกับประเพณีบุญบั้งไฟเป็นอย่างมาก เพื่อให้ประเพณีนี้ได้เป็นมรดกตกทอดไปยังอนุชนรุ่นหลังสืบต่อไป

การบูชาพระธาตุ

“ธาตุ” ในภาษาของชาวลาวเวียงแปลว่า สถูปหรือเจดีย์ที่ใช้บรรจุอัฐิกระดูกของคนในอดีต หากเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือ พระเถระ จะเรียกว่า “พระธาตุ” ดังนั้น “โนนธาตุ” หรือ “โพนธาตุ” จึงเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นซากโบราณสถานคล้ายฐานเจดีย์ จากข้อสังเกตุหลายประการเชื่อว่า โบราณสถานดังกล่าวน่าจะมีความเก่าแก่และอยู่ในยุคสมัยของทวารวดีที่พุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแถบนี้ โดยเจดีย์ลักษณะดังกล่าวกระจายตัวอยู่ในพื้นที่เขตอำเภออู่ทอง ส่วนพื้นที่บ้านดอนคานั้นปรากฎซากโบราณสถานที่มีลักษณะเป็นฐานเจดีย์อยู่ด้วยกันสามแห่ง คือ โนนธาตุหนองสองห้อง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของหมู่บ้าน โนนธาตุ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน และหนองตาวงศ์ ที่พบซากฐานโบราณสถาน เศษหม้อดินเผา รวมถึงฐานโยนีที่ปัจจุบันอยู่ที่วัดโภคาราม พื้นที่ดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานของการอยู่อาศัยของคนโบราณก่อนที่ชาวลาวเวียงจะเดินทางเข้ามาตั้งชุมชน

เมื่อชาวลาวเวียงได้เข้ามามีบทบาทและครอบครองพื้นที่บ้านดอนคาในปัจจุบัน จึงเริ่มการสร้างบ้านเรือนและจับจองพื้นที่ทำกิน เมื่อพื้นที่รอบ ๆ หมู่บ้านเริ่มมีเจ้าของจับจองแล้ว ชาวบ้านจึงเริ่มขยายพื้นที่ในการทำเกษตรกรรมออกไปอีกเพราะชาวลาวเวียงเป็นคนที่มีความมานะอดทนสูง จึงทำให้ไปพบกับซากเจดีย์ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ดอน ด้วยความที่ชาวลาวเวียงมีความเชื่อในสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ และความศักดิ์สิทธิ์ของโนนธาตุ ชาวบ้านจึงให้ความเคารพและเหลือพื้นที่ดังกล่าวเอาไว้ ต่อมาเมื่อความศักดิ์สิทธิ์ของโนนธาตุเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวบ้านดอนคา จึงเกิดประเพณีการไหว้พระธาตุขึ้นที่โนนธาตุ จัดขึ้นในเดือน 4

การศึกษาและการเข้าถึงบริการสังคม

การศึกษา: ระดับการศึกษา

การศึกษา: อัตราการเข้าเรียนในกลุ่มชาติพันธุ์นั้น ๆ

การเข้าถึงบริการสาธารณะ: การเข้าถึงบริการสุขภาพ

การเข้าถึงบริการสาธารณะ: สาธารณูปโภค

การเข้าถึงบริการสาธารณะ: บริการสาธารณะ

ปัญหาและอุปสรรค: ปัญหาหรือข้อจำกัดในการเข้าถึงการศึกษาและบริการสังคม

ประวัติศาสตร์และภูมิหลัง

แหล่งกำเนิดและการอพยพ: ประวัติการตั้งถิ่นฐานและการอพยพ

ย้อนกลับไปสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี อาณาจักรลาวแบ่งออกเป็น 3 อาณาจักรใหญ่ไม่ขึ้นแก่กัน ได้แก่ อาณาจักรหลวงพระบาง มีพระเจ้าสุริยวงศ์เป็นผู้ปกครอง อาณาจักรเวียงจันทน์ มีพระเจ้าศิริบุญสารเป็นผู้ปกครอง และอาณาจักรจำปาศักดิ์ มีพระเจ้าไชยกุมารเป็นผู้ปกครอง อาณาเขตของอาณาจักรทั้ง 3 ครอบคลุมทั้งฝั่งซ้ายและขวาของแม่น้ำโขง

ในระยะนั้นอาณาจักรพม่ามีกำลังเข้มแข็งและขยายอาณาเขตมาปกครองเหนือเวียงจันทน์ ต่อมาเมื่ออาณาจักรเวียงจันทน์ทำสงครามกับอาณาจักรหลวงพระบางและได้กองกำลังสนับสนุนจากพม่า ทำให้อาณาจักรหลวงพระบางตกอยู่ภายใต้อำนาจของพม่าใน พ.ศ. 2314 ส่วนอาณาจักรจำปาศักดิ์มาขึ้นกับอาณาจักรธนบุรีใน พ.ศ. 2319 เนื่องจากพระยานางรองเจ้าเมืองนางรองที่ขึ้นกับเมืองนครราชสีมาก่อกบฏและไปขอขึ้นกับอาณาจักรจำปาศักดิ์ ทางเมืองนครราชสีมาจึงแจ้งข่าวมายังกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีสั่งให้ยกกองทัพจากหัวเมืองทางเหนือ นำทัพโดยเจ้าพระยาสุรสีห์ และหัวเมืองภาคกลางนำทัพโดยเจ้าพระยาจักรี ยกทัพไปปราบกบฏ เมื่อกองทัพไทยได้รับชัยชนะ เมืองนางรอง เมืองจำปาศักดิ์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรจำปาศักดิ์ เมืองโขง เมืองอัตปือ ส่วนเขมรป่าดงได้แก่ เมืองสุรินทร์ สังขะ ขุขันธ์ มาขึ้นกับกรุงธนบุรีด้วย

ต่อมาเกิดปัญหาขึ้นภายในอาณาจักรของลาว เมื่อพระวออุปราชเมืองเวียงจันทน์มีความขัดแย้งกับเจ้าเมืองเวียงจันทน์ จึงออกมาสร้างเมืองใหม่ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ส่งกองทัพไปปราบแต่กลับถูกตีแตกพ่าย แต่พระวอไม่ไว้ใจจึงขอความช่วยเหลือจากกองทัพพม่า แต่พม่าเลือกเข้าข้างเจ้าเมืองเวียงจันทน์ กองทัพพระวอพ่ายแพ้จึงหนีไปอาศัยอยู่เมืองจำปาศักดิ์ ต่อมาเกิดวิวาทกับเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ จึงพาไพร่พลมาตั้งมั่นอยู่ดอนมดแดง แขวงอุบลราชธานีแล้วส่งบรรณาการมาขอพึ่งเจ้าเมืองธนบุรี เมื่อเจ้าเมืองเวียงจันทน์รู้ถึงการวิวาทระหว่างพระวอและเจ้าเมืองจำปาศักดิ์จึงส่งกองทัพนำโดยพระยาสุโพมาปราบพระวอและประหารชีวิต เนื่องจากขณะนั้นพระวอเปรียบเสมือนคนในอารักขาของกรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงตั้งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ยกกองทัพมาทำศึกกับเมืองเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2321 จนได้รับชัยชนะและได้หัวเมืองลาวทั้งหมด (บังอร ปิยะพันธุ์, 2541, หน้า 21-23)

เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเข้าเมืองเวียงจันทน์ได้แล้วจึงจับพระราชบุตร พระราชธิดาของพระเจ้าศิริบุญสาร ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาข้าราชการน้อยใหญ่ กวาดเก็บทรัพย์สินข้าวของทั้งหมดที่มีค่าในพระคลังหลวง พร้อมด้วยพระแก้วมรกตและพระบาง รวมถึงครอบครัวลาวเวียงจันทน์ลงมายังกรุงธนบุรี โดยโปรดฯ ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองสระบุรี เมืองราชบุรี ตามหัวเมืองตะวันตกและเมืองจันทบุรี ส่วนเจ้านายเชื้อกษัตริย์โปรดฯ ให้พำนักอยู่ที่บางยี่ขัน (สิลา วีระวงส์, 2539, หน้า 151) โดยมีจุดประสงค์ของการกวาดต้อนชาวลาวเวียงเข้ามา ด้วยเหตุผลสองประการ

ประการแรก เมืองจันทน์มีเมืองเล็กเมืองน้อยมาขึ้นด้วยเป็นอันมาก ทำให้เวียงจันทน์มีทรัพยากรที่เอื้ออำนวยต่อการทำศึกสงคราม ทั้งช้างม้าและเสบียงอาหาร แต่เนื่องจากอยู่ไกลจากกรุงธนบุรี และยังมีภัยจากพม่าที่คุกคามเพื่อต้องการหัวเมืองลาว และจากเวียดนามที่ให้การสนับสนุนพระเจ้าศิริบุญสาร ดังนั้น พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงมีนโยบายตัดกำลังนครเวียงจันทน์ให้อ่อนแอลง โดยกวดต้อนครัวลาวเวียงจันทน์มาหลายหมื่นคน เพื่อทำลายการสร้างเสบียงอาหารจากเรือกสวนไร่นา และป้องกันไม่ให้พระเจ้าศิริบุญสารกลับไปยึดเมืองเวียงจันทน์เป็นที่มั่นได้อีก

ประการที่สอง พระเจ้ากรุงธนบุรี ต้องการกำลังคนเพื่อทดแทนพลเมืองที่เสียชีวิต จากการสงครามกับพม่าในช่วง พ.ศ. 2310 ดังนั้น พลเมืองชาวลาวจำนวนมากจึงสร้างประโยชน์ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ในทางการเมือง พระเจ้ากรุงธนบุรีสามารถส่งให้แม่ทัพนายกองเกณฑ์ไปเป็นกองกำลังในการป้องกันเมือง ทางด้านเศรษฐกิจ เชลยศึกนับเป็นแรงงานสำคัญในการเพาะปลูกเพิ่มผลผลิตทางด้านเกษตร ทั้งการทำนาและสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ (บังอร ปิยะพันธุ์, 2541, หน้า 25-30)

การโยกย้ายของชาวลาวเวียงเข้ามาในอาณาจักรไทยเกิดขึ้นอีกครั้งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในครั้งนี้มีช่วงเวลาที่สำคัญสามช่วง คือ

ช่วงแรกในพ.ศ. 2325 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงดำเนินนโยบายปกครองเวียงจันทน์เป็นเมืองประเทศราช จึงแต่งตังเจ้านันทเสน ราชบุตรองค์โตของพระเจ้าศิริบุญสารกลับไปครองนครเวียงจันทน์ และถวายพระนามใหม่ว่า “พระเจ้านันทเสนพรหมลาว” แล้วตั้งเจ้าอินทวงศ์เป็นอุปราช ส่วนเจ้าอนุวงศ์และเจ้าพรหมวงศ์ยังคงถวายตัวรับใช้ต่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสนับสนุนให้เวียงจันทน์เป็นศูนย์กลางในการดูแลความสงบเรียบร้อย รวบรวมผู้คนและเครื่องราชบรรณาการ จากหัวเมืองต่าง ๆ ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาถวาย (พรรษา สินสวัสดิ์, 2521, หน้า 61)

ต่อมาใน พ.ศ. 2335 ลาวตำเมืองแถนและลาวเมืองพวนเกิดแข็งข้อต่อนครเวียงจันทน์ พระเจ้านันทเสนจึงยกทัพไปปราบและกวาดต้อนครอบครัวลาวทรงดำและลาวพวนมาถวายที่กรุงเทพฯ (ศรีศักร วัลลิโภดม, 2538, หน้า 288) เพื่อเป็นเงื่อนไขในการขอครัวลาวเวียงจันทน์ที่ถูกกวาดต้อนไปตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีกลับคืนมา แต่ได้รับการปฏิเสธ เป็นเหตุให้พระเจ้านันทเสนก่อการกบฏโดยสมคบกับพระบรมราชาเจ้าเมืองนครพนมติดต่อกับเมืองญวน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงสั่งถอดถอนพระเจ้านันทเสนออกจากการปกครองเมืองเวียงจันทน์ (สิลา วีระวงส์, 2539, หน้า 169) การที่พระเจ้านันทเสนให้ความสำคัญต่อครอบครัวของลาวเวียงที่เมืองสระบุรีและหาทางนำกลับคืนเมืองเวียงจันทน์ให้ได้ เป็นเพราะการกวาดต้อนครัวลาวเวียงคราวพ่ายแพ้แก่กองทัพกรุงธนบุรี มีผลสะเทือนต่อสถานะเมืองเวียงจันทน์ ถูกลดฐานะลงเป็นเพียงเมืองประเทศราชของกรุงธนบุรี และครัวลาวที่ถูกกวาดต้อนไปจำนวนหลายหมื่นเป็นการบ่อนทำลายเศรฐกิจของเมืองเวียงจันทน์ทางอ้อม เพราะทำให้เมืองเวียงจันทน์กลายเป็นเมืองร้าง ไร่นาไม่มีแรงงานหว่านไถเพาะปลูก จึงไม่สามารถเก็บส่วยอากรตลอดจนไม่มีแรงงานเต็มที่ นอกจากนี้ การที่ครัวลาวและเจ้านายในราชวงศ์ของเวียงจันทน์ถูกกวาดต้อนไปกรุงธนบุรีและเมืองสระบุรี ก่อให้เกิดการพลัดพรากในหมู่ญาติมิตร (บังอร ปิยะพันธุ์, 2541, หน้า 43)

ช่วงที่สองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพฯ และเมืองเวียงจันทน์ยังคงดำเนินไปเช่นเดิม แต่ในช่วงเวลานี้เมืองเวียงจันทน์ปกครองโดยเจ้าอินทวงศ์ พระอนุชาของพระเจ้านันทเสน ขึ้นครองราชย์มีพระนามว่า “พระชัยเชษฐา” และให้เจ้าอนุวงศ์เป็นอุปราช การย้ายถิ่นของชาวลาวเวียงในช่วงรัชสมัยนี้ พบเพียงการโยกย้ายของครัวลาวนครพนมเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และเจ้าเมืองเวียงจันทน์ส่งลาวเมืองภูครังลงมายังกรุงเทพฯเท่านั้น (บังอร ปิยะพันธุ์, 2541, หน้า 47)

ช่วงที่สามตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงเวลาที่นครเวียงจันทน์ฟื้นตัวขึ้นเป็นบ้านเมืองได้อีกครั้งในฐานะเมืองประเทศราชของกรุงเทพฯ ทั้งยังมีไพร่พล เสบียงอาหาร ช้าง ม้า ซึ่งเป็นพาหนะสำคัญในการทำศึกสงคราม มีหัวเมืองลาวที่ติดต่อกับเขมรและญวนถึง 79 หัวเมือง ส่วนหัวเมืองลาวที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงทั้งฝ่ายเหนือฝ่ายใต้มีถึง 80 หัวเมือง รวมหัวเมืองลาวที่อยู่ในความดูแลมีถึง 165 หัวเมือง ทำให้มีไพร่พลและเสบียงอาหารเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ความต้องการเอกราชของเวียงจันทน์และขนย้ายครอบครัวชาวลาวกลับสู่ถิ่นกำเนิด เป็นสิ่งที่เจ้าอนุวงศ์คิดและพยายามอยู่เสมอ กระทั่งใน พ.ศ. 2369 ได้ก่อกบฏไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นต่อกรุงเทพฯ ซึ่งมีสาเหตุหลายประการ อย่างเช่น เจ้าอนุวงศ์ทูลขอแบ่งครอบครัวลาวเวียงจันทน์ที่กวาดต้อนลงมา ตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรี และถวายกราบบังคมทูลขอพระราชทานหม่อมละครเล็กไปเป็นครูละครในวังที่นครเวียงจันทน์ พร้อมด้วยเจ้าดวงคำซึ่งเป็นหลานปู่ของเจ้าอนุวงศ์ที่ถูกกวาดต้อนลงมาถวายตัวรับใช้ในสมัยกรุงธนบุรี ประกอบกับความทุกข์ยากลำบากของชาวเวียงจันทน์ที่ถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานเช่น ใน พ.ศ. 2326 ที่แรงงานลาวเวียงจันทน์ 5,000 คน ต้องมาสร้างกำแพงเมืองและป้อมรอบพระนคร (เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, 2506, หน้า 68-69)

นอกจากนี้เจ้าอนุวงศ์ยังคิดว่าความขัดแย้งระหว่างไทยกับอังกฤษ เกี่ยวกับการติดต่อทำสนธิสัญญาทางไมตรีและขอขยายการค้า กับเรื่องกบฏไทรบุรีที่โดนไทยปราบจนต้องหนีไปอยู่ประเทศอังกฤษ จะประสบความล้มเหลวและนำมาสู่สงครามในที่สุด เพราะหากเกิดสงครามขึ้นจริงไทยคงไม่มีทรัพยากรพอเพียงที่จะรบกับลาวและอังกฤษไปพร้อมกัน (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2505, pp. 670-682) และจากเหตุการณ์ภายในที่พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3 ) ได้เสวยราชย์แทนพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (รัชกาลที่ 4 ) ยิ่งทำให้เจ้าอนุวงศ์เชื่อว่าประเทศไทยคงถึงคราวผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่และต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นในราชบัลลังก์อย่างแน่นอน เจ้าอนุวงศ์จึงมีแผนการโจมตีพร้อมกัน 3 ด้านพร้อมกองทัพ 3 กอง กำลังส่วนแรกให้เจ้าราชบุตร (โย้) เจ้าเมืองจำปาศักดิ์ซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ เขามาทางเขตอีสานใต้แถบอุบลราชธานี เขมราฐ ยโสธรและศรีษะเกษ กำลังอีกส่วนหนึ่งให้เจ้าอุปราชแห่งเวียงจันทน์ คือ เจ้าติสสะ ซึ่งเป็นอนุชาต่างมารดายกเข้ามาทางเขตอีสานกลางแถบกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุวรรณภูมิ และอีสานใต้บางส่วน เช่นสุรินทร์ สังขะและขุขันธ์ ส่วนเจ้าอนุวงศ์คุมทัพหลวงตรงเข้าสู่นครราชสีมาและสระบุรี โดยส่งข่าวกับเจ้าเมืองกรมการต่าง ๆ ตามรายทางว่า ได้รับคำสั่งจากกรุงเทพฯ ให้เกณฑ์กองทัพเมืองเวียงจันทน์ไปช่วยทำศึกกับอังกฤษที่จะยกทัพเรือมาตีกรุงเทพฯ ทำให้กองทัพทั้ง 3 ของเจ้าอนุวงศ์ไม่ได้รับการต่อต้านจากหัวเมืองต่าง ๆ ตามรายทาง จึงสามารถยึดเมืองนครราชสีมา และหัวเมืองบริเวณที่ราบสูงฝั่งขวาแม่น้ำโขงได้ทั้งหมด

กองทัพเวียงจันทน์กวาดต้อนครอบครัวชาวลาวกลับเวียงจันทน์เป็นจำนวนมาก ได้แก่ ครัวเมืองนครราชสีมา 18,000 คน ครัวเมืองชัยภูมิ ประมาณ 300 ครัว และครัวเมืองชนบท ประมาณ 200 ครัว ครัวเมืองสระบุรี ประมาณ 10,000 คนเศษ เมื่อความทราบทางกรุงเทพฯ จึงส่งกองทัพแบ่งออกเป็น 3 ทัพ ดังนี้ ทัพหลวง มีสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นแม่ทัพมุ่งสู่นครราชสีมา แล้วตีขึ้นเหนือไปทางชัยภูมิ ช่องสามหมอ ภูเวียง สู่หนองบัวลำภู กองทัพฝ่ายเหนือ นำทัพโดยเจ้าพระยาอภัยภูธร ยกทัพขึ้นไปตามลำน้ำป่าสักเข้าสู่เพชรบูรณ์ และกองทัพฝ่ายตะวันออก มีพระยาราชสุภาวดีเป็นแม่ทัพ ยกกองทัพมุ่งหน้าสู่ภาคอีสานทางช่องเรือแตก 4 ทัพ มีการเกณฑ์เขมรป่าดงจากสุรินทร์ สังขะ และเขมรจากพระตะบอง (เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, 2506, หน้า 53-54) การโต้ตอบของกองทัพไทยทำให้สามารถยึดเอาดินแดนที่เสียไปทั้งหมดกลับคืนมาได้

ในช่วงพ.ศ. 2371 หลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าอนุวงศ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้ทำลายเมืองเวียงจันท์ไม่ให้กลับมาเป็นบ้านเมืองได้อีก จึงรับสั่งให้ตัดต้นไม้ลงให้หมดแล้วจุดไฟเผา คงเหลือเพียงวัดที่ไม่ถูกเผาไหม้ คือ วัดสีสะเกด และล้มเลิกนครเวียงจันทน์ไม่ให้เป็นบ้านเมืองอีกต่อไป (สิลา วีระวงส์, 2539, หน้า 173-174) และมีพระราชดำริให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลและพระยาสุภาวดี กวาดต้อนผู้คนจากเมืองเวียงจันทน์และหัวเมืองลาวใกล้เวียงจันทน์ลงมาให้มากที่สุด และให้หัวเมืองลาวทั้งหลายที่เป็นเมืองขึ้นของไทยเกลี้ยวกล่อมและกวาดต้อนครัวลาวเวียงจันทน์ที่หลบหนีเข้ามา และจัดส่งมาพักตามเมืองใหญ่ ๆ ก่อนจัดส่งลงมาไว้ที่กรุงเทพฯ นอกจากครัวลาวเวียงจันทน์แล้ว ยังมีครัวลาวเมืองอื่น ๆ อีก ได้แก่ เมืองคำเกิด เมืองคำม่วน เมืองพร้าว เมืองหาว เมืองวาง เมืองกะตาก (ผาบัง) เมืองพิน เมืองนอง เมืองตะโปน เมืองมหาไชยกองแก้ว เมืองชุมพร เมืองพวง เมืองพะลาน เมืองพวน เมืองหนองหาร (สกลนคร)เมืองวังยาว เมืองปะขาว (ผ้าขาว) เมืองพันนา เมืองพันพร้าว และเมืองแป้ง (ข้าวแป้ง) เป็นต้น (สุวิทย์ ธีรศาศวัต, 2541, หน้า 104)

 เหตุการณ์ครั้งนี้นับได้ว่าส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรและการย้ายถิ่นฐานของประชากรลาวเมืองเวียงจันทน์และลาวเมืองอื่น ๆ เข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด เกิดการก่อตั้งเป็นชุมชนชาวลาวเวียงในหัวเมืองชั้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น กระจายกันอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ได้แก่ เมืองสระบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี เป็นต้น โดยชาวลาวจะอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน นิยมเรียกหมู่บ้านว่า “บ้าน” เมืองสระบุรี มีชุมชนชาวลาวเวียงจันทน์อยู่ที่บ้านหนองหอย บ้านไก่เซา บ้านกระเบื้อง บ้านท่าทราย บ้านท่าเรือ บ้านสาวไห้ บริเวณพระพุทธบาท บ้านเขาปถวี เขาแก้ว บ้านอ้อย เมืองราชบุรี มีชุมชนชาวลาวที่บ้านลูกแก เมืองสุพรรณบุรี มีชุมชนลาวเวียงอยู่ที่บ้านหนองกระทุ่ม (บังอร ปิยะพันธุ์, 2541, หน้า 84-87)

นอกจากนี้ยังมีชุมชนชาวลาวครั่ง ลาวเวียง ลาวหลวงพระบาง และลาวพวน ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองกาญจนบุรี ลพบุรี นครปฐม โดยกลุ่มชุมชนชาวลาวมักนิยมตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เดิม แต่มีการขยายชุมชนออกเพราะประชากรเพิ่มมากขึ้น ดังเช่น กรณีของเมืองนครชัยศรี สมัยพระบาทสามเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อได้มีการปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นโดยรวมหัวเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกันเป็นมณฑลเทศาภิบาลใน พ.ศ. 2435 และในพ.ศ. 2441 (ร.ศ. 116) พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม ผู้ว่าราชการเมืองนครชัยศรีได้รายงานผลการตรวจราชการตามเขตแขวง และเสนอรายงานการตรวจราชการต่อพระยามหาเทพกระษัตรี สมุหเจ้ากรมพระตำรวจในซ้าย ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครชัยศรี เมื่อวันที่ 17 เมษายน ร.ศ. 116 ในรายงานฉบับดังกล่าว ทำให้ทราบว่า บ้านดอนรวกเป็นบ้านลาว มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและนายกอง ปกครองราษฎรลาว และมีชุมชนลาวอยู่ที่บ้านรวก บ้านลำเหย บ้านหลวง บ้านหนองกระพี้ บ้านทุ่งผักกูด บ้านทุ่งผีหลวง บ้านโพรงมะเดื่อ หมู่บ้านลาวเหล่านี้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน (บังอร ปิยะพันธุ์, 2541, หน้า 104)

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 บ้านเมืองเผชิญภาวะสงครามและภาวะเศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม พยายามรักษาเสถียรภาพของบ้านเมืองด้วยมาตรการต่าง ๆ รวมถึงการส่งเสริมความเป็นไทยซึ่งเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ ภาษาท้องถิ่นได้รับนโยบายชาตินิยม กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภาษาถิ่นเป็นของตนเองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ในช่วงนั้นพบว่ามีคนลาวในหลายพื้นที่รู้สึกว่าการพูดภาษาลาวไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมประจำชาติและความทันสมัย มีชาวลาวจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พ่อหรือแม่แต่งงานกับคนไทยมาก่อนหน้านี้เริ่มเปลี่ยนมาพูดภาษาไทยและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับความเป็นไทย

ผลกระทบที่เกิดแก่ชุมชนได้ตามมาอย่างต่อเนื่องภายหลัง พ.ศ. 2500 เมื่อระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รัฐบาลพัฒนาความเจริญและสร้างทางหลวงจากเมืองใหญ่ไปสู่หมู่บ้านชนบท ส่งเสริมอุตสาหกรรมการเกษตร ชุมชนได้รับความเจริญและเกิดการขยายตัว มีการขยายหมู่บ้านและแยกบ้านไปตามทางหลวงหรือเขตที่มีความเจริญ นับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด ทั้งสระบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ฯลฯ ในขณะเดียวกันวิถีชีวิตค่านิยมและประเพณีก็ถูกปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเจริญที่ขยายตัวเข้ามาในชุมชน (วรรณพร บุญญาสถิตย์ และคณะ, 2559, หน้า 23)

เหตุการณ์สำคัญในอดีต: เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ส่งผลต่อกลุ่มชาติพันธุ์

สำหรับประวัติของชุมชนตำบลดอนคา ช่วงสำคัญที่ผู้คนอพยพโยกย้ายมาอาศัยที่นี่คือ ในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอนุวงศ์จากนครเวียงจันทน์ คิดกบฏต่อแผ่นดินตั้งตนเป็นใหญ่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ไปปราบปรามที่ทุ่งสัมฤทธิ์ และได้กวาดต้อนผู้คนชาวลาวมาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน แถบจังหวัดลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี และสุพรรณบุรี ฯลฯ การอพบพย้ายถิ่นฐานบ้านเรือนนั้น ได้กระทำกันเป็นระยะๆ ติดต่อกันเรื่อยมา จนเกิดเป็นตำนานเล่าขานกันมาถึงบรรพบุรษของบ้านดอนคาแห่งนี้

พ่อคุณหงษ์ – แม่คุณอ่ำ พร้อมด้วยลูกหลานได้อพยพช้าง ม้า วัว ควาย มาตั้งถิ่นฐาน ณ หมู่บ้านสมอลม อำเภอเมืองสุพรรณบุรีในปัจจุบัน เพราะภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์ดี เหมาะแก่การเพาะปลูกเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาชุมชนแห่งนี้ได้ถูกเขมรรังแกรบกวน ด้วยความรักอิสระมุ่งมั่นที่อยู่อย่างสงบ จึงได้ชักชวนลูกหลาน อพบพถอยร่นลงมา เพื่อหาแหล่งที่ทำกินใหม่ มาทางอำเภอจระเข้สามพัน เดินทางมาเห็นดอนหญ้าคา ปัจจุบันเรียกว่า “โนนบ้านเก่า” (ปัจจุบันบ้านนายหมิน-นางนวม) จึงตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น เพราะมองเห็นหนองปล้องและรางคัดเค้าที่มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ดี ในน้ำมีปลาในนามีข้าว เหมาะแก่การเพาะปลูก จึงได้จับจองพื้นที่แบ่งปันกัน ทำมาหากินเรื่อยมา

กาลต่อมาจึงขยายบ้านเรือนเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน ด้านทิศตะวันออกวัดเก่า (ปัจจุบันบ้านนายยอ-นางหน่อง) จึงร่วมใจกันสร้างกุฎิขึ้นมา 1 หลัง (ปัจจุบันบ้านนายหนู-นางหมุ่ย) ซึ่งมีหลวงพ่อธรรม บุตรของพ่อคุณหงษ์ บวชเป็นสามเณรจำพรรษาอยู่ โดยพ่อคุณหงส์ เมื่อว่างเว้นจากการทำนาด้านทิศตะวันออกโนนหอ (ปัจจุบันนานายทอง -นางพิลาเก่า) ได้มาสอนหนังสือขอมให้สามเณรธรรมเป็นประจำจนได้อุปสมบท แล้วจึงย้ายกุฏิมาอยู่ที่วัดเก่า

บุคคลอีกท่านที่มีความสำคัญคือ พ่อคุณปลัด ท่านเป็นหลานของพระเจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทน์ เนื่องจากท่านไม่ชอบทำสงคราม รวทัพจับศึกกับใคร จึงแยกย้ายจากญาติพี่น้องมาหาความสงบ เนื่องจากเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถในการปกครองผู้คน เป็นผู้วางแผนพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญรุ่งเรืองจนได้เป็นปลัดหมู่บ้านและปลัดแขวง

ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระองค์กำหนดให้ชาวไทยทุกคนมีนามสกุลใช้กันทุกครอบครัวลูกหลานของพ่อคุณปลัด จึงเป็นต้นกำเนิดของนามสกุล “กุลวงศ์” นับแต่นั้นมา

ตระกูล “หงษ์เวียงจันทร์” นั้นสืบสายโลหิตมาจากพ่อคุณหงษ์-แม่คุณอ่ำ ที่มีเครือญาติลูกหลานสืบทอดวงศ์ตระกูลสืบต่อกันมา รวมทั้งครอบครัวของตระกูลของพ่อคุณผา-แม่คุณซา (เป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านดอนคาแห่งนี้)

ตระกูล “เหมเวียงจันทร์” สืบทอดมาจากครั้งที่อพยพมาจากเวียงจันทร์เช่นกัน เป็นตระกูลมั่งคั่ง เป็นนายฮ้อยที่ค้าขายช้าง ม้า วัว ควาย เป็นอาชีพที่มีฐานะดีมีคนนับหน้าถือตา

          ตระกูล “นนท์ช้าง” สืบเชื้อสายจากตระกูลหงส์เวียงจันทร์ที่สมรสกับ ตระกูลอื่น ลูกหลานเกิดมาได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดนนท์ช้าง จึงเป็นต้นตระกูล “นนท์ข้าง” สืบมา

ส่วนตระกูลอื่นๆ เช่น ยศวิชัย ตุ่มศรียา ปลัดม้า นนท์แก้ว และพันธ์จันทร์ ล้วนเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีประวัติสืบทอดกันมาเป็นผู้ประกอบคุณงามความดี จนได้รับแต่งตั้งให้มียศมีตำแหน่ง ใน สมัยก่อนเมื่อทางการกําหนดให้มีนามสกุลใช้ลูกหลาน จึงดำรงตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ของบรรพบุรุษ มาตั้งเป็นอนุสรณ์และความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษของตน

วิถีชีวิตและการดำรงชีวิต

การประกอบอาชีพ: อาชีพหลักที่กลุ่มชาติพันธุ์นั้นประกอบอยู่ (เช่น เกษตรกรรม ประมง ค้าขาย) นับตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ชาวลาวเวียงบ้านดอนคาทำการเกษตร ปลูกข้าวเป็นอาชีพหลักสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ผลผลิตที่ได้ส่วนใหญ่เป็นข้าวเจ้า ซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่ทางฝั่งตะวันออกของตำบลหรือรอบ ๆ ชุมชนบ้านดอนคาในปัจจุบัน ส่วนที่รองลงมา คือ อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด และพืชไร่อื่น ๆ นิยมปลูกกันมากในฝั่งตะวันตกของตำบลเนื่องจากเป็นที่สูงและมีภูเขา

รูปแบบการดำเนินชีวิต: รูปแบบการอยู่อาศัยชาวลาวเวียงมักสร้างบ้านเรือนอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มในสายตระกูล แต่ละกลุ่มบ้านประกอบขึ้นรวมเป็นชุมชน การเชื่อมต่อระหว่างบ้านเรือนแต่ละหลังหรือแต่ละคุ้มเรือนค่อนข้างอิสระ นิยมปลูกเรือนและหันหลังคาเรือนใหญ่ไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่หันมุมบ้านเข้าหากัน เพราะเชื่อว่าจะทิ่มแทงกันในหมู่เครือญาติ ผู้คนในชุมชนรู้จักมักคุ้นกันอย่างดี การปิดกั้นขอบเขตด้วยรั้วจึงไม่ปรากฏชัดเจน หากมีการแบ่งอาณาเขตมักเป็นรั้วเตี้ย ๆ แนวต้นไม้หรือกองวัสดุต่าง ๆ แทนการก่อรั้วทึบ ทางสัญจรภายในหมู่บ้านมีลักษณะเป็นอิสระ ประกอบด้วยทางหลักและทางรองที่คดล้อมลัดเลาะไปตามกลุ่มบ้านต่าง ๆ ลักษณะคล้ายใยแมงมุมแบบหลวม ๆ อีกทั้งยังแบ่งแยกพื้นที่อยู่อาศัยและที่ทำกินออกจากกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อชุมชนเริ่มแออัด ชาวบ้านบางกลุ่มเริ่มขยับขยายที่อยู่อาศัยออกไปรอบนอก เช่นลักษณะของชุมชนลาวเวียงบ้านดอนคาในทุกวันนี้ นอกจากนี้ ในแต่ละหมู่บ้าน ยังมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่เพื่อประโยชน์ใช้สอยให้ตรงกับความต้องการของผู้คนที่แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เช่น เปลี่ยนสระน้ำจากที่เคยใช้ประโยชน์เพื่อการอุปโภคบริโภค กลายมาเป็นลานสาธารณะหรือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ดังเช่น สระหนองเบน ถูกปรับบริบทของพื้นที่ โดยทำเป็นสระคอนกรีตมีแนวทางเดินโดยรอบให้ชาวดอนคาเข้าไปใช้เดิน วิ่งเพื่อออกกำลังกาย ใกล้ ๆ กันเป็นที่ตั้งของเครื่องออกกำลังกายและลานเต้นแอโรบิค สถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดฮิตของคนในชุมชน อย่างไรก็ตาม ยังมีบางครัวเรือนนำน้ำไปใช้รดต้นไม้ นอกจากนี้ ยังพบว่าบริเวณสระหนองไผ่เดิมปัจจุบันได้ถมจนกลายเป็นลานกว้างสำหรับใช้ตากข้าวและพื้นที่สาธารณะเพื่อทำประโยชน์อื่น ๆ ให้แก่ชุมชน

รูปแบบการดำเนินชีวิต: การบริโภคอาหารการกินการอยู่ ส่วนมากจะชอบทานปลาร้า ปลาส้ม น้ำพริก ต้มผักจิ้ม ผักสวนครัวก็จะปลูกเองเป็ดไก่ ก็จะเลี้ยงไว้ ปูปลาก็หากินง่าย พอได้มาก็ใส่เกลือตากแดดไว้กินตอนหน้าแล้ง

รูปแบบการดำเนินชีวิต: การแต่งกายชาวลาวเวียงนั้นการทอผ้าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตมาตั้งแต่โบราณ และถือเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้หญิงลาวเวียงเพราะการทอผ้าได้งดงามฝีมือประณีตเป็นสิ่งสะท้อนว่ามีความพร้อมในการออกเรือนหรือการแต่งงาน ผู้หญิงลาวเวียงจะใช้เวลาว่างจากงานบ้านงานเรือน และการทำไร่ไถนาทอผ้าเพื่อใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มของคนในครอบครัว โดยใช้เวลากลางคืน เวลาหยุดพักเพื่อรอคอยการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยใช้ฝ้ายเป็นวัตถุดิบหลักในการทอ การเรียนรู้วิธีทอจะเป็นการเรียนโดยการปฏิบัติสืบทอดกันมาในครอบครัว หรือเครือญาติใกล้ชิด ลวดลายบนผืนผ้านั้นผู้ทออาจเรียนรู้จากบรรพบุรุษและออกแบบลายของตนเองขึ้นมา ทำให้ผ้าแต่ละผืนมีความเฉพาะตัว

ชาวลาวเวียง ตำบลดอนคา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ยังคงสืบทอดวัฒนธรรมการทอผ้าแบบดั้งเดิม โดยนำลายผ้าโบราณมาแกะลายแล้วทอตามลวดลายแต่ไม่ได้ปั่นเส้นด้ายสาหรับทอผ้าเองเนื่องจากเสียเวลามาก เพื่อความสะดวกจึงใช้เส้นด้ายทอสำเร็จรูปจากโรงงาน การทอผ้าด้วยเทคนิคการจกซึ่งก็คือการทอลวดลายบนผืนผ้าด้วยการเพิ่มด้ายเส้นพุ่งพิเศษเข้าไปเป็นช่วง ๆ การจกจะใช้ไม้หรือขนเม่นจกหรือควักเส้นด้ายสีสันต่าง ๆ ขึ้นมาบนเส้นยืนให้เกิดลวดลายตามที่ต้องการโดยมีเส้นยืนเป็นด้ายสีแดงซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผ้าลาวเวียง แล้วนามาเป็นส่วนประกอบของตีนผ้าซิ่น หรือที่เรียกว่า“ผ้าซิ่นตีนจก”

ผ้าซิ่นตีนจกของชาวลาวเวียงซึ่งเป็นผ้านุ่งของผู้หญิงถือเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของชาวลาวเวียง ผ้าผืนหนึ่งประกอบด้วยผ้าสองส่วนคือ ส่วนตัวที่เป็นการทอด้วยสีพื้นหรือลวดลายพื้นฐานโดยไม่ได้ทอแบบจก ส่วนตีนทอด้วยวิธีการจกแล้วนาไปต่อเชิงผ้า เรียกว่าตีนซิ่นหรือตีนจก ตรงส่วนนี้จะมีลวดลายงดงามมากใช้เวลานานในการทอ ผู้ทอต้องใช้ความละเอียดและมีความอดทนสูงในการทอให้มีความงดงามและได้ลวดลายตามที่ต้องการ ลายตีนจกที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวลาวเวียงก็คือลายซีกสามเหลี่ยม โดยทอลายเป็นสามเหลี่ยม 4 – 7 แถว และมีสร้อยเฉพาะตีนล่าง ส่วนด้านบนไม่มีสร้อย(ธิติมา นิลวงษ์, 2558) นอกจากนั้นมีลายอื่น ๆ เช่น ลายขิดหมานอน ลายดอกแก้ว ลายตวยน้อย ลายหัวเสือครึ่งซีก ผ้าจกนอกจากใช้ตกแต่งผ้าซิ่นให้สวยงาม ยังใช้ตกแต่งเครื่องใช้อื่น ๆ เช่น หมอน ย่าม ผ้าห่ม

ปัจจุบันชาวลาวเวียงยังนิยมแต่งกายด้วยผ้าทอมือเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน และจะพิถีพิถันในการแต่งกายแบบลาวเวียงเต็มรูปแบบในเทศกาลสำคัญ แต่การทอผ้าเพื่อใช้นั้นได้มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ผู้หญิงลาวเวียงที่ทอผ้าได้มีไม่มากนักมีเพียงผู้เฒ่าผู้แก่ และเยาวชนผู้สนใจจำนวนหนึ่งที่พยายามสืบทอดการทอผ้าแบบลาวเวียงไว้ ผ้าซิ่นส่วนที่เป็นส่วนตัวซิ่นชาวลาวเวียงมักใช้วิธีการซื้อสำเร็จรูปมาจากตลาดทั่วไปแล้วนำตีนจกที่ทอในชุมชนมาต่อ ซึ่งปัจจุบันตีนจกไม่เพียงพอแก่ความต้องการเนื่องจากมีผู้สนใจจากนอกชุมชนสั่งซื้อ แต่มีผู้ทอเป็นจำนวนน้อยและต้องใช้เวลานานในการทอ ซิ่นตีนจกจึงมีราคาแพง เฉพาะตีนจกสำหรับผ้านุ่งหนึ่งผืนนั้นมีราคาหลายพันบาทจนถึงหลักหมื่น ราคาขึ้นอยู่กับความกว้างของตีนจก การตัดเย็บและตกแต่งผ้าให้สวยงาม ยังนิยมใช้การด้นมือเนื่องจากสมัยก่อนไม่มีเครื่องจักร

การทอผ้ากับวิถีชีวิตของชาวลาวเวียงในตำบลดอนคา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีได้มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับวิถีการดำเนินชีวิตในยุคสมัยปัจจุบัน เมื่อสังคมมีการเปลี่ยนแปลง ผู้หญิงชาวลาวเวียงจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเองให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การทอผ้าไม่ใช่ส่วนสำคัญในวิถีชีวิตของผู้หญิงลาวเวียงอีกต่อไป เนื่องจากผู้หญิงลาวเวียงมีอาชีพที่ หลากหลายมากขึ้นและสามารถซื้อหาผ้าที่ทอสำเร็จแล้วมาใช้ได้ การทอผ้าในชุมชนเป็นเรื่องของการประกอบอาชีพเสริม การอนุรักษ์ความงดงามของลายผ้าและการสร้างอัตลักษณ์เพื่อความโดดเด่นของชุมชนลาวเวียงมากกว่าเป็นเรื่องของคุณค่าของผู้หญิงหรือปัจจัยในการเลือกคู่ครองของผู้ชาย ค่านิยมของการการเป็นแม่เรือนที่ดีเปลี่ยนไปไม่จำเป็นต้องทอผ้าได้ก็สามารถเป็นแม่เรือนที่สมบูรณ์ได้ ส่งผลให้ผู้หญิงที่ทอผ้าเป็นลดน้อยลงจากในอดีต ความหมายที่เคยอยู่คู่กับการทอผ้าโดยเฉพาะค่านิยมในการเลือกคู่ครองของผู้ชายที่จะเลือกผู้หญิงที่ทอผ้าได้งดงาม และเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในการเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์และเป็นแม่เรือนที่ดีถูกลดทอนให้เลือนหายไปจากวิถีชีวิตชาวลาวเวียงด้วยเช่นกัน

ระบบครอบครัว: โครงสร้างครอบครัวชาวลาวเวียงบ้านดอนคา นิยมอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ เมื่อแต่งงาน คู่สามีภรรยาจะนิยมออกมาสร้างบ้านเรือนของตนเองใกล้บ้านของพ่อแม่ โดยมีลูกคนสุดท้องหรือลูกผู้หญิงอยู่ดูแลพ่อและแม่ที่เรือนเดิม ทำให้เรือนนั้นตกเป็นของลูกหลานคนสุดท้องสืบต่อกันเรื่อยไป

ลำดับการเรียกคนในครอบครัวของชาวลาวเวียงจะแตกต่างจากการคนไทย ได้แก่ “โซ่น” ในภาษาลาวเวียงบ้านดอนคาคือ ทวด หากเป็นผู้ชายจะเรียกว่า “พ่อโซ่น” ผู้หญิงจะเรียกว่า “แม่โซ่น” นอกจากนี้ ยังใช้เป็นคำเรียกผู้เฒ่าผู้แก่ภายในชุมชนอีกด้วย คำว่า โซ่น ยังใช้เรียกตาและยาย โดยตาจะเรียกว่า “โซ่นใหญ่” และยายจะเรียกว่า “โซ่นน้อย” หรือเรียกว่า “คุณใหญ่คุณน้อย” ก็ได้เช่นกัน (คุณมาจากคำว่าพ่อคุณ แม่คุณ) น้าชายน้าหญิงจะเรียกว่า “น้าบ่าว” หรือ “บ่าว” แทนน้าผู้ชาย และ “น้าสาว” หรือ “สาว” อา(น้องของพ่อ) อาหญิงเรียกว่า “อา” ส่วนอาชายจะเรียกว่า “อาว” พี่เขยเรียกว่า “พี่อ้าย” พี่สะใภ้เรียกว่า “พี่นาง” พี่ชายของตนเองหากได้บวชเรียนมาแล้วจะเรียกว่า “อ้ายทิด” พี่ชายเรียกว่า “อ้าย” พี่สาวเรียกว่า “เอื้อย” ส่วนบุคคลอื่น ๆ ก็เรียกเช่นเดียวกับลำดับญาติของไทย

ลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของระบบเครือญาติของชาวลาวเวียงบ้านดอนคา เนื่องด้วยการอาศัยอยู่ที่บ้านดอนคาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรือนของลูกหลานจะนิยมตั้งเรือนใหม่ไม่ห่างจากเรือนดั้งเดิมที่เป็นเรือนของพ่อแม่ ชาวลาวเวียงจะถือเครือญาติมีความสำคัญมาก โดยการเรียกญาติก็จะมีวิธีการเรียกที่ต่างจากชุมชนอื่น ๆ โดยชาวลาวเวียงจะดูตั้งแต่บรรพบุรุษว่าเป็นพี่หรือเป็นน้อง หากเป็นพี่ ลูกหลานรุ่นต่อมาก็จะถือเป็นเชื้อสายฝ่ายพี่ โดยฝ่ายพี่จะถูกเรียกจากญาติว่าเป็นลุงหรือป้า และหากเป็นเชื้อสายฝ่ายน้อง ก็จะถูกเรียกจากญาติว่า น้าบ่าว น้าสาว อาว อา จะสังเกตได้ว่า แม้ในบางครั้ง ญาติที่เกิดก่อนพ่อและแม่แต่เป็นลูกฝ่ายน้อง ปกติจะต้องเรียกแทนด้วยคำว่าป้าหรือลุง แต่ชาวลาวเวียงก็จะเรียกว่าน้าตามศักดิ์ฝ่ายน้อง โดยลักษณะดังกล่าวแสดงออกให้เห็นว่า ลูกหลานถือบรรพบุรุษเป็นใหญ่และให้ศักดิ์ความเป็นญาติตามบรรพบุรุษ

ระบบครอบครัว: ขนบธรรมเนียมในการแต่งงานและการเลี้ยงดูบุตรในอดีตการเลือกคู่ของชาวลาวเวียงมีอยู่ด้วยกัน 2 ลักษณะ ดังนี้ ลักษณะแรกพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่เป็นผู้จัดหามาให้ อาจเกิดจากการที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายรู้จักกันมาก่อน ส่วนลักษณะที่สองเป็นการรักใคร่ชอบพอกันเองระหว่างหญิงชาย ซึ่งมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันในงานประเพณีต่าง ๆ แต่การพบปะพูดคุยสนทนากันระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวต้องอยู่ในสายตาของพ่อแม่ฝ่ายหญิงตลอดเวลา หากการสนทนาเป็นไปได้ดีทั้งสองฝ่าย ฝ่ายชายจะบอกพ่อแม่ให้ไปสู่ขอฝ่ายหญิง เมื่อพ่อแม่ฝ่ายชายผู้ที่จะมาเป็นคู่ครองเห็นฝ่ายหญิงว่าอยู่ในช่วงวัยที่เหมาะสม เป็นคนขยันมีน้ำใจกิริยามารยาทเรียบร้อย ทอผ้าฝ้ายผ้าไหมได้เป็นอย่างดี มีความสามารถในการเรือน พ่อแม่ฝ่ายชายจึงส่งเถ้าแก่มาสู่ขอซึ่งมักเป็นผู้หญิงสูงอายุที่คนในหมู่บ้านนับถือ ส่วนพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะพิจารณาคุณสมบัติของว่าที่ลูกเขยว่าผ่านการบวชเรียนเป็นพระภิกษุมาครบ 1 พรรษา ปฏิบัติหน้าที่รับราชการทหารหลังถูกหมายเกณฑ์เรียบร้อย อยู่ในวงศ์ตระกูลที่ดี เป็นคนขยันอดทน สามารถเป็นแรงงานของครอบครัวได้ พ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็จะตอบรับการทาบทามจากเถ้าแก่

จากนั้นเถ้าแก่และครอบครัวฝ่ายชายจะเดินทางมาสู่ขอและตกลงค่าสินสอดกับครอบครัวฝ่ายหญิง พร้อมขันหมากที่ใช้ในพิธีสู่ขอซึ่งประกอบด้วย หมากพลู ยาสูบ อย่างละ 9 อัน พร้อมเงิน 4 บาทใส่ไว้ในขันเพื่อมอบให้กับพ่อแม่ฝ่ายหญิงพร้อมกับให้เป็นผู้เรียกร้องค่าสินสอด โดยจะเริ่มตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไปและลงท้ายด้วยจำนวน 4 บาทเสมอ เพื่อเป็นค่าบูชาแก่ผีบรรพบุรุษของครอบครัวฝ่ายหญิง เมื่อตกลงเรียบร้อยแล้วพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายจะนำด้ายสายสิญจน์มาผูกแขนและให้พรกับหญิงสาว ส่วนพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงจะผูกแขนให้พรแก่ชายหนุ่ม แล้วพ่อแม่ของฝ่ายชายจึงนำวันเดือนปีเกิดของทั้งคู่ให้พระภิกษุทำการผูกดวงและหาฤกษ์ยามเพื่อจัดพิธีแต่งงานต่อไป ส่วนมากพิธีแต่งงานจะจัดขึ้นที่บ้านของฝ่ายหญิง เพราะตามธรรมเนียมลาวเวียงจะให้ฝ่ายชายเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมครอบครัวกับฝ่ายหญิงระยะหนึ่ง ก่อนแยกออกมาสร้างครอบครัวของตนเอง

ก่อนถึงวันพิธี พ่อแม่ของฝ่ายหญิงจะใช้เวลาเตรียมงานก่อน 2 วัน วันแรกเป็นการตกแต่งสถานที่และทำความสะอาดบ้านเรือนเพื่อเตรียมต้อนรับญาติและแขกที่มาร่วมงาน มีการเตรียมอาหารทั้งคาวหวาน วันที่สองบรรดาเครือญาติและเพื่อนบ้านมาร่วมกันทำบายศรีสู่ขวัญให้กับคู่บ่าวสาวในพิธีสู่ขวัญ เมื่อถึงวันงานพิธีได้ฤกษ์ยามตามที่กำหนดไว้ พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าบ่าวจัดเตรียมขบวนแห่ขันหมากไปบ้านเจ้าสาว ในขบวนขันหมากประกอบด้วย เครื่องขันหมาก 3 ขัน มีขันใส่เงินค่าสินสอด ขันใส่หมากพลูใบเงินใบทอง และขันใส่เหล้าบุหรี่ โดยขันทั้งสามใบจะมีผ้าขาวทำเป็นกรวยครอบไว้เพื่อความเรียบร้อย นอกจากนี้จะมีเสื่อ 1 ผืน หมอน 2 ใบ ผ้าขาวม้า 2 ผืน ขันน้ำ โดยขันใส่เงินค่าสินสอดจะให้ญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายเป็นผู้ถือและเดินนำหน้าขบวนแห่ขันหมาก ในขบวนแห่ขันหมากมีการตีกลองยาวร้องเพลงและรำประกอบไปตลอดเส้นทาง โดยมีเจ้าบ่าวเดินตามหลังกลุ่มผู้ร้องรำทำเพลง ถัดลงไปจึงเป็นญาติพี่น้องและบรรดาเพื่อน ๆ ที่มาร่วมงานช่วยถือสิ่งของต่าง ๆ เมื่อเข้าใกล้บ้านเจ้าสาวจึงโห่ร้องเป็นการส่งสัญญาณว่าขบวนขันหมากมาถึงแล้ว

เมื่อขบวนแห่มาถึงเจ้าบ่าวต้องชำระล้างเท้าก่อนขึ้นบ้านเจ้าสาว โดยจะมีน้องชายหรือน้องสาวของเจ้าสาวทำหน้าที่ถอดรองเท้าและล้างเท้าด้วยน้ำที่ผสมขมิ้น จากนั้นญาติพี่น้องของเจ้าสาวจะจูงเจ้าบ่าวขึ้นบ้าน โดยเจ้าบ่าวจะต้องเตรียมเงินเพื่อใช้สำหรับเป็นค่าเปิดทางของประตูเงินประตูทอง เมื่อพ่อแม่และเครือญาติของฝ่ายเจ้าบ่าวขึ้นมาบนบ้านของเจ้าสาวเรียบร้อยแล้ว จึงนำเครื่องขันหมากไปมอบให้แก่พ่อแม่เจ้าสาว แล้วญาติของทั้งสองฝ่ายนำค่าสินสอดออกมานับเมื่อครบตามจำนวน พ่อแม่ของฝ่ายเจ้าสาวนำเมล็ดถั่วเขียวและข้าวเปลือกโปรยลงที่สินสอด เพราะเชื่อว่าจะทำให้ค่าสินสอดมีจำนวนเงินเพิ่มมากขึ้นเหมือนกับการงอกของเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวและข้าวเปลือก

 จากนั้นหมอขวัญจึงทำพิธีสู่ขวัญให้คู่บาวสาว โดยจัดให้คู่บ่าวสาวนั่งตรงข้ามกับตนโดยมีเครื่องบายศรีสู่ขวัญคั่นกลาง และรายล้อมด้วยญาติพี่น้อง หมอขวัญเริ่มทำพิธีโดยจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย พร้อมทั้งกล่าวคำอัญเชิญเทวดาเพื่อมาเป็นสักขีพยานในการแต่งงานและคุ้มครองให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่คู่บาวสาว แล้วนำสายสิญจน์มาพันรอบเครื่องบายศรีส่งผ่านไปให้คู่บ่าวสาวก่อนจะส่งผ่านไปสู่ทุกคนที่มาร่วมงาน หลังจากนั้นจึงเริ่มกล่าวบทสู่ขวัญ กล่าวสอนสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตนในชีวิตคู่และจบด้วยการอวยชัยให้พร

หมอขวัญจะนำไข่ต้มที่ที่ผ่าซีกออกด้วยด้วยเส้นด้ายมาทายชีวิตคู่หลังการแต่งงานของบ่าวสาว การทำนายสังเกตจากลักษณะของไข่แดง หากว่าชีวิตคู่ของบ่าวสาวมีความสุขราบรื่นไข่แดงจะอยู่ตรงพอดี แต่หากไข่แดงเอียงไปข้างหนึ่งข้างใดหมอขวัญมักจะทำนายว่าชีวิตคู่หลังการแต่งงานไม่ราบรื่นนัก จึงต้องนำไข่ต้มอีกใบมาทำนายใหม่ ซึ่งหากผลการเสี่ยงทายออกมาเหมือนเดิม คู่บ่าวสาวต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์หลังพิธีแต่งงานแล้วเสร็จ เมื่อทำนายเสร็จแล้วหมอขวัญจะเลือกเอาไข่ต้มใบหนึ่งมามอบให้กับญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาวเพื่อนำไปป้อนให้กับคู่บ่าวสาว โดยใช้มือขวาป้อนไข่ต้มครึ่งหนึ่งให้กับเจ้าบ่าว และใช้มือซ้ายป้อนไข่อีกครึ่งหนึ่งให้กับฝ่ายเจ้าสาวจากนั้นจึงนำสายสิญจน์ที่อยู่บนยอดของบายศรีมาผูกข้อมือให้กับคู่บ่าวสาวอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงให้พ่อแม่ของเจ้าบ่าวผูกข้อมือให้เจ้าสาว และให้พ่อแม่ของเจ้าสาวผูกข้อมือให้เจ้าบ่าว ซึ่งอาจมีการให้เงินในการผูกข้อมือด้วย

เมื่อเสร็จพิธีเจ้าบ่าวรวมทั้งพ่อแม่และญาติจะเดินทางกลับบ้านก่อน รอจนถึงเวลาของพิธีส่งมาตัวมาถึงในตอนหัวค่ำของวันเดียวกัน แล้วญาติผู้ใหญ่ของแต่ละฝ่ายจะสลับกันจูงแขนคู่บ่าวสาวเพื่อไปส่งยังห้องหอ ที่ปูนอนไว้เรียบร้อยโดยผู้สูงอายุชายหญิงที่มีครอบครัวอบอุ่น ฐานะมั่นคง เมื่อเข้าไปถึงห้องนอนผู้สูงอายุชายหญิงจะล้มตัวลงนอนก่อนแล้วจึงลุกขึ้นมาให้คู่บ่าวสาวลงไปนอนด้วยกัน จากนั้นพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่จึงให้คำอวยพร ให้คู่บ่าวสาวกราบไหว้กันเพื่อแสดงการยอมรับซึ่งกันและกันเป็นอันเสร็จพิธี (กิตติภัต นันท์ธนะวานิช, 2545, pp. 224-228)

ปัจจุบันพิธีการแต่งงานของชาวลาวเวียงมีการปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมทางสังคม เช่น การแต่งงานของคนปรับอายุสูงขึ้นประมาณ 28-35 ปี อันเป็นผลเนื่องมาจากการศึกษาที่ต้องใช้ระยะเวลามากขึ้น อีกทั้งความมีอิสระในการเลือกคู่ครอง มักเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายคัดเลือกคนที่ตนพึงพอใจจึงทำให้ช่วงอายุของการแต่งงานขยายออกไปสูงขึ้น

วัฒนธรรมและประเพณี

การสืบทอดวัฒนธรรม: วิธีการถ่ายทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่นชาวลาวเวียงดอนคามีการถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีไปยังรุ่นลูกหลาน ผ่านพิธีกรรมและการจัดงานตามเทศกาลต่างๆ มีการสอนคนรุ่นใหม่ในการทอผ้า และร้องรำ เล่นเครื่องดนตรีพื้นบ้านตามวัฒนธรรมลาวเวียง  ภูมิปัญญาลาวเวียงบ้านดอนคา โดดเด่นในเรื่องการประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษผ่านการรู้จักทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่จะทำขึ้นจาก ไม้ไผ่ นำมาจักสานเป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น กระบุง ตะกร้า ตะแกรง กระด้ง กระเซอ ฯ สำหรับใช้ในเรือน นอกจากนี้ยังมีการประดิษฐ์เป็นเครื่องมือทำมาหากิน เช่น สุ่มดักปลา คันเบ็ดตกปลา ไซ ค้อง อีโง่ (ลอกดักปลา) ฯ ตลอดจนอุปกรณ์ในการทอผ้า เช่น กวัก และ กี่ทอผ้า เป็นต้น ปัจจุบัน ชาวบ้านดอนคาหลายคนยังคงนำเอาไม้ไผ่มาใช้ประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้และพัฒนากลายเป็นสินค้าของชุมชน เช่น ตะกร้า กระบุง กระจาด กระด้ง ซึ่งพ่อค้าแม่ขายจากต่างถิ่นจะเข้ามารับซื้อถึงหน้าบ้าน

ดนตรีและศิลปะ: ลักษณะของดนตรีชาวลาวเวียงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีเครื่องดนตรีสำคัญประจำชุมชนคือแคน แคนถือได้ว่าเป็นอัตลักษณ์เด่นอย่างหนึ่งของชนชาติลาวและเมื่อชาวลาวได้เข้ามาอยู่ในสยามก็ได้นำแคนเข้ามาด้วยและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสยามจนกลายเป็นประเด็นทางการเมืองในสมัยรัชกาลที่ 4 การเล่น “แอ่วลาวเป่าแคน” ขยายอิทธิพลเป็นอย่างมากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ไม่เว้นแม้แต่ในราชสำนัก โดยพระอนุชาของพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดการแอ่วลาวเป่าแคนมาก การที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดแอ่วลาวมาก เป็นเหตุให้รัชกาลที่ 4 ทรงไม่พอพระทัยถึงความนิยมในการเล่นแอ่วลาวเป่าแคนในสมัยนั้น เนื่องจากทรงเห็นว่าชาวไทยพากันละทิ้งการละเล่นของไทย ทรงออกประกาศห้ามมิให้เล่นแอ่วลาว ทรงอ้างด้วยว่า เมืองที่เล่นลาวแคนมากๆ ฝนจะแล้ง และทรงคาดโทษผู้ที่เล่นลาวแคนว่าจะจับและให้เสียภาษีเพิ่มอีกหลายเท่า (อดิศร เสมแย้ม, 2552) อย่างไรก็ตามแม้ว่า การเป่าแคน การละเล่นแอ่วลาวจะถูกประกาศห้ามมิให้เล่นในครั้งนั้น แต่แคนซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่อยู่คู่ชนชาติลาวกลับมิได้สูญหายไปด้วย ยังคงอยู่คู่ชาวลาวในสยามจนถึงปัจจุบัน

ที่ตำบลดอนคา พบว่าชาวลาวเวียงส่วนใหญ่เป่าแคนได้ เด็ก ๆ ในชุมชนเติบโตมาพร้อมกับเสียงแคนจากการเป่าแคนประกอบการละเล่นแอ่วลาวตามแบบดั้งเดิม ชาวลาวเวียงได้สืบทอดและส่งต่อวัฒนธรรมนี้เรื่อยมาเป็นเวลากว่าร้อยปี ในปัจจุบันชาวลาวเวียงตำบลดอนคาได้ประยุกต์การเป่าแคนจากเดิมที่เป็นการละเล่นหลังเสร็จภารกิจจากการทำไร่ไถนาแล้วมารวมกลุ่มกันร้องรำทำเพลงโดยมีกลองสองหน้า ฉิ่ง ฉาบ แคน กรับ เป็นเครื่องดนตรี เพื่อสร้างความสนุกสนานในชุมชน ให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่กลายเป็น“วงแคนประยุกต์” กลายเป็นอัตลักษณ์เด่นของชาวลาวเวียงตำบลดอนคาอีกประการหนึ่งเพราะเป็นชุมชนลาวเวียงเพียงแห่งเดียวที่มีการเป่าแคนอย่างจริงจังจนสามารถพัฒนามาเป็นอีกอาชีพปัจจุบันชาวลาวเวียงตาบลดอนคาเป็นเจ้าของวงแคนประยุกต์จำนวนมากกว่า 20 คณะ(สานักปลัดองค์การบริหารส่วนตาบลดอนคา, 2558) ถือว่าเป็นตำบลที่มีวงแคนประยุกต์มากที่สุดในประเทศไทยในขณะนี้ และมีชื่อเสียงโด่งดังไปยังจังหวัดอื่นๆ ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ถูกว่าจ้างให้ไปเล่นในงานมงคล เช่น งานบวช งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานแก้บน งานฉลอง ฯลฯ ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศตลอดทั้งปี

ดนตรีและศิลปะ: การเต้นรำลิเกลาว หรือ หมอลำเรื่องต่อกลอน เป็นการรับเอาวัฒนธรรมจากภาคอีสานมาสู่ชุมชนบ้านดอนคา เนื่องจากในอดีตนอกจากการตั้งถิ่นฐานของชาวลาวเวียงบ้านดอนคาแล้ว ยังมีการเข้ามาอาศัยของชาวอีสานที่หนีความแห้งแล้งออกมาหาพื้นที่ทำกินที่อุดมสมบูรณ์และเดินทางมาถึงพื้นที่ชุมชนบ้านดอนคาในปัจจุบัน

ในสมัยของพระครูศุภการโกศล (เงิน สุภวโร, หงษ์เวียงจันทร์) เจ้าอาวาสรูปที่ 5 ของวัดโภคาราม ท่านมีความชอบในวัฒนธรรมหมอลำของชาวลาว แต่เนื่องด้วยบ้านดอนคาขาดการสืบทอดหมอลำและไม่มีหมอลำในชุมชนของตนเอง จึงนำหมอลำจากภาคอีสานมาทำการแสดงในงานบุญประเพณีที่สำคัญหลายครั้ง รวมถึงหมอลำเรื่องต่อกลอนด้วย ต่อมาท่านจึงได้จัดตั้งคณะลิเกลาวของบ้านดอนคาขึ้นเพื่อทำการแสดงในงานของชุมชน โดยอาจารย์สุนทร ชัยรุ่งเรือง ปราชญ์ด้านหมอลำของภาคอีสานเป็นผู้ถ่ายทอดและฝึกซ้อมให้กับชาวบ้านในขณะนั้น จึงถือเป็นการแสดงลิเกลาวคณะแรกที่เกิดขึ้นในชุมชน

ปัจจุบันด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีความเจริญด้านความบันเทิงเจริญก้าวหน้ามากขึ้น การละเล่นที่มีความสำคัญในการสร้างความสนุกสนานของคนในอดีตจึงถูกลดความสำคัญลงและหายไปจากชุมชนในที่สุด เหลือเพียงภาพความทรงจำและความสนุกที่เกิดขึ้นในสมัยที่ผู้เฒ่าผู้แก่ยุคปัจจุบันกำลังเป็นหนุ่มสาว จึงเป็นเพียงเรื่องเล่าที่เล่าในลูกหลานฟังว่าบ้านดอนคาเคยมีลิเกลาวหรือการแสดงหมอลำเรื่องต่อ

ดนตรีและศิลปะ: งานศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์

  • แคน

              แคน ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวลาว ไม่ว่าชาวลาวจะอยู่ที่ใดก็จะมีเครื่องดนตรีชนิดนี้อยู่ด้วยทุก ๆ พื้นที่ แคนถือได้ว่าเป็นเครื่องเป่าที่มีความไพเราะของเสียง สามารถเป่าเป็นทำนองเพลงต่าง ๆ ได้มากมายหลากหลาย และเป็นเครื่องดนตรีเก่าแก่ที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

          ชาวลาวเวียงบ้านดอนคาในอดีต แคนมีความสำคัญกัวิถีชีวิตหลากหลายด้าน ในด้านพิธีกรรมมีการเป่าแคนเพื่อใช้ในพิธีกรรมการทรงเจ้าพ่อ ด้านกิจกรรมร่วมกันในสังคม แคนก็เป็นเครื่องดนตรีหลักในการรำวงของชาวลาวเวียงบ้านดอนคาในอดีต ด้วยความที่ชาวลาวเวียงรักความสนุกสนานและผ่อนคลายจากการฟ้อนรำในทุก ๆ เทศกาล ปัจจุบันแคนก็ยังเป็นเครื่องดนตรีหลักของวงดนตรีหลายวงของบ้านดอนคา เรียกว่า “วงแคนประยุกต์” ซึ่งในตำบลดอนคาถือได้ว่าเป็นชุมชนที่มีวงดนตรีมากที่สุดในประเทศไทย

  • กลองยาว

                 วัฒนธรรมการตีกลองยาวนี้ ชาวลาวเวียงบ้านดอนคาได้รับอิทธิพลจากชุมชนโดยรอบซึ่งเป็นชุมชนชาวไทยพื้นถิ่น ในงานบุญประเพณีต่าง ๆ จะมีการห้อนรำและแห่ด้วยกลองยาว วัฒนธรรมการตีกลองยาวจึงเกิดขึ้นในชุมชนบ้านดอนคา เพื่อนำมาสร้างความสนุกสนานให้กับประเพณีของชาวลาวเวียง

                ในอดีตหากนึกถึงกลองยาวในชุมชนบ้านดอนคาต้องนึงถึงคณะกลองยาวของนายมี บ้านโนน ซึ่งเป็นคณะกลองยาวที่มีอยู่ในชุมชน โดยรับจ้างตีกลองยาวสร้างความสนุกสนานให้กับคนในชุมชนและยังเป็นที่คณะกลองยาวที่ช่วยเหลืองานบุญในชุมชนเป็นประจำด้วย ด้วยความนิยมที่ลดน้อยลงและมีแตรวงเข้ามาแทนที่ปัจจุบันคณะกลองยาวเหลือเพียงกลุ่มผู้สูงอายุรวมกลุ่มกันตั้งวงกลองยาวเพื่อช่วยในกิจกรรมของวัดและชุมชน โดยมีกลุ่มอยู่ที่วัดโภคาราม

อาหาร: อาหารดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ อาหารที่มีอยู่ในชุมชน แม้ว่าการอพยพของชาวลาวเวียงบ้านดอนคาจะมีอายุเกือบ 200 ปีแล้วนั้น วัฒนธรรมอาหารของชนชาติลาวก็ยังคงฝั่งแน่นและเป็นเอกลักษณ์ โดยวัตถุดิบหลักที่ทุกครัวเรือนต้องมีคือ ปลาร้า ซึ่งเนอาหารที่ต้องมีอยู่ในทุกครัวเรือน ในการปรุงอาหารชาวบ้านนิยมนำปลาร้ามาใส่ลงในอาหารเกือบทุกชนิด เพราะจะทำให้รสชาติกลมกล่อม ชาวบ้านดอนคานิยมทานน้ำพริกปลาร้าและผัก อาหารที่ขึ้นชื่อของชาวลาวเวียงได้แก่ แกงผำ ส่วนขนมที่มีมาตั้งแต่โบราณได้แก่ ขนมก้นกระทะ ถือเป็นอาหารที่มีความเป็นมาคู่กับชาวบ้านดอนคามาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้บ้านดอนคาเป็นชุมชนที่มีชุมชนคนไทยอาศัยอยู่โดยรอบ จึงได้รับวัฒนธรรมด้านอาหารของไทยมาปรับปรุงประยุกต์ให้เข้ากับอาหารลาวเวียง หลากหลายเมนูที่ชาวลาวเวียงนิยมใส่ทั้งกะทิและบ่งบอกความเป็นตัวตนโดยใส่น้ำปลาร้าลงไปด้วย เช่น แกงบอน แกงหอยขมใส่กะทิ เป็นต้น แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการด้านการปรุงอาหารของชาวลาวเวียงที่สามารถปรับปรุงอาหารดั่งเดิมให้มีความลงตัวและเป็นเอกลักษณ์ของตนเองได้

การปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น: การติดต่อและความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ

การรับรู้จากภายนอก: การมองเห็นและรับรู้กลุ่มชาติพันธุ์จากสังคมภายนอก

ความท้าทายทางสังคมและการเมือง: ความขัดแย้งหรือปัญหาที่เกิดจากการอยู่ร่วมกับกลุ่มอื่น ๆ

การอนุรักษ์วัฒนธรรม: ความพยายามในการรักษาวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม

การเปลี่ยนแปลงทางสังคม: การปรับตัวและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในสังคมปัจจุบัน

ผลกระทบจากการพัฒนา: การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากนโยบายการพัฒนาและการขยายตัวของเมือง

ตัวแทนบุคคล:

หน่อยงานราชการ:

social:

รายละเอียดสินค้า:

ผลิตภัณฑ์

ชื่อผลิตภัณฑ์:

ประเภทสินค้า:

ราคาจำหน่าย:

ชื่อผู้ติดต่อ:

ที่อยู่:

เบอร์ติดต่อ:

สถานที่ท่องเที่ยว

ข่าว